Learning
log8 (ในห้องเรียน)
ทักษะในภาษาอังกฤษไม่ว่าจะเป็น ฟัง
พูด อ่าน เขียน
ล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์กันทั้งสิ้น
และแต่ละในทักษะก็จะมีทักษะย่อยๆเข้ามาร่วมกันอีกมากมาย เช่น
ทักษะการฟังก็จะต้องคิดวิเคราะห์ตาม
รวมถึงรายวิชาการแปลก็เช่นกัน
มีทักษะที่เข้ามาร่วมกันมากมาย
เช่น ทักษะการอ่าน การคิด
วิเคราะห์ เป็นต้น ในการแปลเราจะใช้ทักษะการคิดมาก
เพราะต้องวิเคราะห์ออกมาให้ได้ว่าประโยคแต่ละประโยคเป็นแบบใด เป็นประโยค
simple compound หรือ complex หรืออาจเป็น phrase
เป็น clause
ดั่งในคาบเรียนของวันนี้เรียนเนื้อหาเรื่อง
noun clause,
noun clause คือ
อนุประโยคที่ทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นคำนามในประโยค ในการสนทนา
ในชีวิตประจำวัน แต่บางครั้งในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เราอาจใช้ประโยคดังกล่าวแต่เราอาจไม่รู้ เช่น I think
you’re very pretty.
มาจากประโยค noun clause
ที่ว่า I think
that you’re very
pretty. และเมื่ออยู่ในตำแหน่งประธานจะเรียกว่า subject noun
clauses เช่น That
scores are going
down is car และเมื่ออยู่ในตำแหน่งกรรมจะเรียกว่า
object noun clause
เช่น I don’t
know where she
is.
Object noun
clause จะอาศัยอยู่กับ main
clause ของประโยค โดยประโยคจะเริ่มด้วย main
clause แล้วตามด้วย object
noun clause โดยไม่ต้องมีเครื่องหมาย comma
คั่น object noun
clause. จะมี 3
ประเภท
ได้แก่ 1. Noun
clause ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “that”
2. Noun
clause ที่ขึ้นต้นด้วย “Wh-words” หรือ question words
3. Noun clause
ที่ขึ้นต้นด้วย
if หรือ whether.
การใช้ noun clause ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า that
คือใช้ตามหลัง verbs ที่แสดงความรู้สึก ความคิด
หรือความคิดเห็น เช่น I
agree that we
should follow him. และเมื่อเป็นภาษาพูดเราจะละคำว่า that ซึ่งเป็นคำขึ้นต้น clause. เช่น I
think it’s red,
not blue. ซึ่งมาจาก I
think that it’s
red, not blue. และ verbs ใน main
clause จะเป็น present tense แต่ verbs ใน noun
clause จะเป็น tense
อะไรก็ได้ เช่น I
believe it’s raining.
ในการสนทนา
ถ้าต้องการหลีกเลี่ยงการพูดคำว่า that บ่อยเกินไป หรือไม่ต้องการพูด noun
clause ซ้ำ สามารถตอบโดยใช้คำว่า so
หรือ not หลัง main
clause ได้
การใช้ noun clause ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-words การใช้ noun
clause ที่ขึ้นต้น Wh-word ได้แก่คำว่า what
where when why
how มีหลักเกณฑ์ คือ
แม้ว่าจะขึ้นต้นด้วยคำแสดงคำถาม
แต่ลำดับคำจะเรียงเป็นประโยคบอกเล่า
ไม่ใช่ลำดับประโยคคำถาม เช่น I
know why he
comes home very
late.
และเครื่องหมายวรรคตอนของประโยคจะเป็นไปตามลักษณะของ main clause และใช้ noun
clause ที่ขึ้นต้นด้วย wh-word เพื่อแสดงให้คู่สนทนา ความจำ
เราไม่รู้หรือเราไม่แน่ใจ
เช่น I don’t
know how much
it costs. และจะใช้ noun
clause ที่ขึ้นต้นด้วย wh-words เพื่อถามหาข้อมูลสุขภาพและสุดท้ายการใช้ noun
clause ที่ขึ้นต้นด้วย if
หรือ whether หรือ indirect yes/no
questions นั่นเอง และลำดับในประโยค word
order และเครื่องหมายจบประโยคใช้หลักเกณฑ์เดียวกับ noun
clauses ที่ขึ้นต้นด้วย wh-words และ noun
clause จะขึ้นต้นด้วย if
หรือ weather ก็ได้ และมักจะใช้
whether ในกรณีที่เป็นทางการ ใช้ if หรือ weather เมื่อประโยค main
clause แสดงการใช้ความคิด หรือความคำนึง
และใช้เมื่อต้องการคำถามอย่างสุภาพ
ดังนั้นจากข้อมูลทั้งหมดจะช่วยให้เรานำไปใช้เชื่อมโยงกับการแปลให้ผลงานออกมามีคนถาม
เพราะถ้าเราแปลออกมาไม่หมดแสดงว่าเรายังไม่ชัดเจนในเรื่องนั้น เพราะว่าเรื่อง noun clause สามารถละคำได้ไว้ในฐานที่เข้าใจ แต่ถ้าเรายังแยกประโยคได้ไม่ถูกต้องเราก็ไม่สามารถทำงานแปลให้ได้ดี
ดังนั้นการจะแปลผลงานให้ออกมาดีต้องมีความชัดเจน
และข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่แค่ช่วยในเรื่องวิชาแปลแต่จะสามารถช่วยวิชาการเขียนอีกด้วย
เพราะทักษะต่างๆทางภาษาอังกฤษจะมีความเชื่องโยงกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น