วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

learning log 8 ในห้องเรียน

Learning  log8  (ในห้องเรียน)
        ทักษะในภาษาอังกฤษไม่ว่าจะเป็น  ฟัง  พูด  อ่าน  เขียน  ล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์กันทั้งสิ้น  และแต่ละในทักษะก็จะมีทักษะย่อยๆเข้ามาร่วมกันอีกมากมาย  เช่น  ทักษะการฟังก็จะต้องคิดวิเคราะห์ตาม  รวมถึงรายวิชาการแปลก็เช่นกัน  มีทักษะที่เข้ามาร่วมกันมากมาย  เช่น  ทักษะการอ่าน  การคิด  วิเคราะห์  เป็นต้น  ในการแปลเราจะใช้ทักษะการคิดมาก  เพราะต้องวิเคราะห์ออกมาให้ได้ว่าประโยคแต่ละประโยคเป็นแบบใด  เป็นประโยค  simple compound  หรือ  complex  หรืออาจเป็น  phrase  เป็น  clause
        ดั่งในคาบเรียนของวันนี้เรียนเนื้อหาเรื่อง  noun  clause,  noun  clause  คือ  อนุประโยคที่ทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นคำนามในประโยค  ในการสนทนา  ในชีวิตประจำวัน  แต่บางครั้งในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา  เราอาจใช้ประโยคดังกล่าวแต่เราอาจไม่รู้  เช่น  I  think  you’re  very  pretty.  มาจากประโยค  noun  clause  ที่ว่า  I  think  that  you’re  very  pretty.  และเมื่ออยู่ในตำแหน่งประธานจะเรียกว่า  subject  noun  clauses  เช่น  That  scores  are  going  down  is  car  และเมื่ออยู่ในตำแหน่งกรรมจะเรียกว่า  object  noun  clause  เช่น  I  don’t  know  where  she  is.
        Object  noun  clause  จะอาศัยอยู่กับ  main  clause  ของประโยค  โดยประโยคจะเริ่มด้วย  main  clause  แล้วตามด้วย  object  noun  clause  โดยไม่ต้องมีเครื่องหมาย  comma  คั่น  object  noun  clause.  จะมี  3  ประเภท
ได้แก่  1. Noun  clause  ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า  “that
    2. Noun  clause  ที่ขึ้นต้นด้วย  “Wh-words”  หรือ  question  words
    3. Noun  clause  ที่ขึ้นต้นด้วย  if  หรือ  whether.
        การใช้  noun  clause  ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า  that  คือใช้ตามหลัง  verbs  ที่แสดงความรู้สึก  ความคิด  หรือความคิดเห็น  เช่น  I  agree  that  we  should  follow  him.  และเมื่อเป็นภาษาพูดเราจะละคำว่า  that  ซึ่งเป็นคำขึ้นต้น  clause.  เช่น  I  think  it’s  red,  not  blue.  ซึ่งมาจาก  I  think  that  it’s  red,  not  blue.  และ  verbs  ใน  main  clause  จะเป็น  present  tense  แต่  verbs  ใน  noun  clause  จะเป็น  tense  อะไรก็ได้  เช่น  I  believe  it’s  raining.  ในการสนทนา  ถ้าต้องการหลีกเลี่ยงการพูดคำว่า  that  บ่อยเกินไป  หรือไม่ต้องการพูด  noun  clause  ซ้ำ  สามารถตอบโดยใช้คำว่า  so  หรือ  not  หลัง  main  clause  ได้
        การใช้  noun  clause  ที่ขึ้นต้นด้วย  Wh-words  การใช้  noun  clause  ที่ขึ้นต้น  Wh-word  ได้แก่คำว่า  what  where  when  why  how  มีหลักเกณฑ์  คือ  แม้ว่าจะขึ้นต้นด้วยคำแสดงคำถาม  แต่ลำดับคำจะเรียงเป็นประโยคบอกเล่า  ไม่ใช่ลำดับประโยคคำถาม  เช่น  I  know  why  he  comes  home  very  late.
และเครื่องหมายวรรคตอนของประโยคจะเป็นไปตามลักษณะของ  main  clause  และใช้  noun  clause  ที่ขึ้นต้นด้วย  wh-word  เพื่อแสดงให้คู่สนทนา  ความจำ  เราไม่รู้หรือเราไม่แน่ใจ  เช่น  I  don’t  know  how  much  it  costs.  และจะใช้  noun  clause  ที่ขึ้นต้นด้วย  wh-words  เพื่อถามหาข้อมูลสุขภาพและสุดท้ายการใช้  noun  clause  ที่ขึ้นต้นด้วย  if  หรือ  whether  หรือ  indirect  yes/no  questions  นั่นเอง  และลำดับในประโยค  word  order  และเครื่องหมายจบประโยคใช้หลักเกณฑ์เดียวกับ  noun  clauses  ที่ขึ้นต้นด้วย  wh-words  และ  noun  clause  จะขึ้นต้นด้วย  if  หรือ  weather  ก็ได้  และมักจะใช้  whether  ในกรณีที่เป็นทางการ  ใช้  if  หรือ  weather  เมื่อประโยค  main  clause  แสดงการใช้ความคิด  หรือความคำนึง  และใช้เมื่อต้องการคำถามอย่างสุภาพ
        ดังนั้นจากข้อมูลทั้งหมดจะช่วยให้เรานำไปใช้เชื่อมโยงกับการแปลให้ผลงานออกมามีคนถาม  เพราะถ้าเราแปลออกมาไม่หมดแสดงว่าเรายังไม่ชัดเจนในเรื่องนั้น  เพราะว่าเรื่อง  noun  clause  สามารถละคำได้ไว้ในฐานที่เข้าใจ  แต่ถ้าเรายังแยกประโยคได้ไม่ถูกต้องเราก็ไม่สามารถทำงานแปลให้ได้ดี  ดังนั้นการจะแปลผลงานให้ออกมาดีต้องมีความชัดเจน  และข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่แค่ช่วยในเรื่องวิชาแปลแต่จะสามารถช่วยวิชาการเขียนอีกด้วย  เพราะทักษะต่างๆทางภาษาอังกฤษจะมีความเชื่องโยงกัน






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น