Text types
รูปแบบการเขียน หมายถึง
วิธีการเรียบเรียงเนื้อหาในการเขียน การถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึกนึกคิด เรื่องราว
ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆไปสู้ผู้อื่นโดยใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอด
ซึ่งมีโครงสร้างที่เป็นแบบแผน มีคุณลักษณะและมีองค์ประกอบหลักที่ใช้การเขียนสำหรับรูปแบบนั้นๆ
ซึ่งรูปแบบการเขียนมีหลายรูปแบบ แตกต่างกันไปตามจุดประสงค์ของงาน
การเขียนเป็นวิธีการสื่อสารที่สำคัญในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด และประสบการณ์
นอกจากนั้นการเขียนยังมีคุณค่าในการบันทึกเป็นข้อมูลหลักฐานให้ศึกษาได้ยาวนานวิธีการเขียนแบบต่างๆไว้ว่า
เป็นงานเขียนสั้นๆที่อภิปราย
บรรยายหรือวิเคราะห์สิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือรายงานข้อมูล
ทั้งในลักษณะโดยตรงหรือโดยอ้อม หรือในลักษณะต้องใช้ความคิดอย่างหนักหรือแบบเบาสมอง
ส่วนใหญ่จะเขียนในนามของสรรพนามบุรุษที่หนึ่งหรือสาม รูปแบบการเขียนที่ใช้กันมาก
ได้แก่
แบบบรรยาย (Descriptive)
เป็นแบบที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างว่า ดูเป็นอย่างไร
สัมผัสอย่างไร รสเป็นอย่างไร กลิ่นเป็นอย่างไร เพื่อให้ความรู้สึกแก่ผู้อ่าน
โดยทั่วไป จึงใช้รายละเอียดของประสาทสัมผัส ข้อเขียนอาจเป็นการบรรยายเป็นรายการ
คือให้รายละเอียดจุดต่อจุด หรือบรรยายเป็นเรื่องราว
เพื่อให้ผู้อ่านสนใจเค้าโครงเรื่องและแก่นของเรื่องที่บรรยาย เช่น
บรรยายถึงต้นไม้ในสวนหลังบ้านของฉัน การไปเยี่ยมผู้ป่วยเด็กในโรงพยาบาล
หรือนักกีฬาทำอย่างไรเพื่อไปสู่โอลิมปิก
แบบให้นิยาม (Definition)
เป็นข้อเขียนที่พยายามให้นิยามคำเฉพาะหรือให้มโนทัศน์
ที่เป็นนามธรรม ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ลึกไปกว่าความหมายในพจนานุกรม
อาจต้องอธิบายถึงเหตุผลว่า “ทำไม” คำนั้นจึงนิยามอย่างนั้น
การเขียนอาจเป็นการนิยามโดยตรง
หรือเขียนเป็นเรื่องราวที่แฝงนัยให้ผู้อ่านอนุมานความหมายเอง เช่น ความหมายของความรัก
ความหมายที่แท้จริงและความสำคัญของความซื่อสัตย์
ความหมายของครอบครัวที่ลึกไปกว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือด
แบบเปรียบเทียบความเหมือนหรือความต่าง
(Compare/Contrast)
เป็นข้อเขียน
ที่อภิปรายถึงความคล้ายคลึงและความแตกต่างของสิ่งสองสิ่งหรือบุคคล ความคิด
สถานที่ ฯลฯ อาจเป็นข้อเขียนที่อภิปรายอย่างไม่ลำเอียง
หรือจูงใจให้ผู้อ่านเห็นประโยชน์ของฝ่ายหนึ่ง
อาจเป็นข้อเขียนง่ายๆที่ทำให้ผู้อ่านสนุกสนาน
หรือลงลึกให้หยั่งรู้ถึงธรรมชาติของมนุษย์
ข้อเขียนอาจอภิปรายทั้งความคล้ายคลึงและความแตกต่าง หรืออาจอภิปรายเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง
เช่น ความคล้ายคลึง และความแตกต่างระหว่างเมืองสองเมือง หรือระหว่างบุคคลสองคน
แบบเหตุและผล (Cause/Effect)
เป็นการอธิบายว่า
เหตุใดเหตุการณ์หนึ่งจึงเกิดขึ้นและเกิดขึ้นอย่างไร
มีผลอะไรเกิดขึ้นจากประสบการณ์นั้น เรียงความนี้เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์หรือประสบการณ์ตั้งแต่สองอย่างขึ้นไป
ข้อเขียนอาจอภิปรายทั้ง “เหตุ” และ “ผล” เช่น ทำไมภูเขาไฟจึงระเบิด
และอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น แบบเล่าเรื่อง (Narrative) ข้อเขียนจะเป็นเรื่องเล่าหรือเรื่องสั้น
เป็นการเล่าถึงประสบการณ์ส่วนบุคคล มักเขียนในรูปสรรพนามบุรุษที่หนึ่ง
อาจเล่าถึงรูปแบบชีวิตของคนๆหนึ่ง หรือประสบการณ์ประจำวันโดยทั่วไป เช่น
น้องชายพาฉันกับตาไปตกปลา ประสบการณ์เฉียดตายของข้าพเจ้าที่ชายทะเล เป็นต้น
แบบอธิบายกระบวนการ (Process)
เป็นการอธิบายถึงการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าทำอย่างไร
โดยทั่วไปอธิบายการกระทำที่แสดงออกมาตามลำดับ
รูปแบบการเขียนจะเป็นคำและทำเป็นขั้นตอน หรืออาจเขียนในรูปแบบการเล่าเรื่อง
พร้อมกับคำแนะนำหรือคำอธิบายเป็นช่วงๆไปโดยตลอด แบบอภิปรายให้เหตุผล (Arguementative)
เป็นข้อเขียนที่พยายามโน้มน้าวผู้อ่านให้เห็นด้วยกับความเห็นของผู้เขียน
อาจเขียนแบบให้คิดอย่างจริงจังหรือแบบสนุกสนาน
แต่ต้องสร้างความเชื่อมั่นต่อความเห็นของผู้เขียน อาจเขียนอย่างตรงไปตรงมา
หรือค่อยๆโน้มน้าวโดยอาศัย การใช้คำ เช่น เราควรใช้การขนส่งสาธารณะแทนการขับรถ
หมาย่อมดีกว่าแมว เป็นต้น
แบบวิเคราะห์วิจารณ์ (Critical)
เป็นข้อเขียนที่วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน และวิธีการ
ที่บุคคลใช้ทำงาน โดยเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงจุดสำคัญอย่างสั้นของเนื้อหาในหนังสือ
ภาพยนตร์หรืองานศิลปะ
จากนั้นอภิปรายข้อดีที่ผู้เขียนหรือผู้สร้างสรรค์งานบรรลุจุดมุ่งหมายอย่างไร
แล้วให้ความเห็น เช่น จุดแข็งจุดอ่อนของภาพยนตร์เรื่องนี้
ผู้แต่งเสนอตัวละครเอกอย่างไร เป็นต้น และการเขียนอธิบาย (Expository
writing) เป็นรูปแบบการเขียนที่ให้ข้อเท็จจริง
ไม่ได้อาศัยโครงเรื่องและตัวละครเหมือนการเขียนเล่าเรื่อง
ซึ่งจะพบข้อเขียนแบบนี้ได้บ่อยในเรื่องข่าว บทความ และรายงานสารสนเทศในลักษณะการเขียนอธิบาย
ประกอบด้วยใจความสำคัญและรายละเอียด
ที่สนับสนุน ได้แก่ ข้อเท็จจริงหรือการอ้างอิงคำพูด การเขียนประกอบด้วยตอน
3 ตอน คล้ายกัน คือ ตอนนำ ตอนเนื้อเรือง และตอนสรุปที่สนับสนุนใจความสำคัญของเรื่อง
การเขียนเล่าเรื่อง (Narrative
writing) เป็นรูปแบบการเขียนที่เล่าถึงเรื่องราวต่างๆอาจเป็นบันเทิงคดี เช่น เทพนิยาย เรื่องสั้น นวนิยาย
หรืออาจเป็นสารคดี เช่น ชีวประวัติ อัตชีวประวัติ เป็นต้น
รูปแบบการเขียนแบบนี้ประกอบด้วย ตอนเริ่ม
ได้แก่การกำหนดตัวละครและตอนนำตามโครงเรื่อง) ตอนกลาง (ตอนต่อตามโครงเรื่องและจุดตื่นเต้นเร้าใจของเรื่อง)
และตอนจบ การลงสรุปหรือการแก้ปัญหาในเรื่องได้สำเร็จ การเขียนแบบเล่าเรื่อง
อย่างน้อยต้องมีตัวละครหนึ่งตัว เป็นบุคคล สัตว์ หรือสิ่งของที่สมมุติเป็นตัวตนได้
และปัญหา ข้อขัดแย้ง ที่ต้องการแก้ไข
นอกจากนี้แล้วยังมีผู้แบ่งรูปแบบการเขียนตามจุดประสงค์เฉพาะในลักษณะอื่นๆ
โดยมีข้อแนะนำในการเขียนแต่ละรูปแบบอยู่ด้วย แต่มีความแตกต่างกัน การเขียนตามรูปแบบการเขียนที่หลากหลายมีลักษณะแตกต่างกันไปเช่นกัน
นักวิชาการต่างๆให้ข้อแนะนำในการเขียนไว้เป็นแนวทางสำหรับผู้ที่จะเขียน
ซึ่งใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน สำหรับนักเรียนได้อีกทางหนึ่งด้วย เพื่อปูพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้ในระดับมัธยมศึกษาจนถึงวัยผู้ใหญ่
ไม่ว่างานเขียนรูปแบบใด แต่สิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงคือการสามารถแปลความหมายงานแปลนั้นให้ได้มีอัธรส
น่าสนใจ เนื้อหาไม่เปลี่ยนแปลงไปจากต้นฉบับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น