Learning log
4 (ในห้องเรียน)
ในการเริ่มเรียนรู้ภาษาอังกฤษของทุกคน ผมเชื่อว่าทุกคนจะต้องเริ่มจากการท่อง A-Z ไม่ว่าจะเป็นการท่องแบบใด
แบบมีจังหวะหรืออาจจะไม่มีจังหวะ
แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน
ต่อมาก็เริ่มท่องคำศัพท์จากคำง่ายๆ
และถัดไปสู่คำที่มีความยากขึ้นไป
หลังจากทักษะการท่องแล้วก็เริ่มใช้ทักษะการเขียนจากการเขียนคำศัพท์ตามคำบอกของครูแล้วค่อยๆพัฒนาขึ้นมา
ในการทำแบบนี้เด็กจะได้ทั้งทักษะการฟังและทักษะการเขียนอีกด้วย และเมื่อมีทักษะดังกล่าวแล้วก็จะต้องใช้คำที่มีมาสร้างเป็นคำประสมที่ง่ายๆ เช่น big pig หลังจากการเริ่มสร้างคำจากคำศัพท์ง่ายๆที่มีก็มาถึงขั้นของการสร้างประโยค
ประโยค คือ
เกิดจากการนำคำหลายๆคำมารวมเข้าด้วยกันให้เป็นระเบียบและมีความสัมพันธ์กัน มีใจความที่สมบูรณ์ แสดงให้เห็นว่า ใคร
ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร
และการสร้างประโยคในภาษาอังกฤษ
ประโยคจะสอดคล้องกับเรื่องของ tenses และไปด้วยกัน การแต่งประโยคในภาษาอังกฤษจะต้องขึ้นอยู่ว่าเขาจะแต่ง หรือจะสื่อออกมามีความหมายที่เป็นอดีต อนาคต
หรือปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับบริบทของเรา ประโยคจะประกอบด้วย 2
ส่วน คือ ภาคประธานและภาคแสดง และอาจมีส่วนขยายอื่นๆ ประโยคแบ่งได้
4 ประเภทดังนี้
ประเภทแรกของประโยค คือ simple sentence
หรือประโยคความเดียว
ประโยคแบบที่เป็นประโยคทั่วๆไปง่ายๆไม่มีความซับซ้อนอะไรฟังแล้วเข้าใจได้เลย และประโยคความเดียวอาจแบ่งออกเป็น 6
รูปแบบ ได้แก่ ประโยคบอกเล่า
(He is a man) ประโยคปฏิเสธ (I
don’t drink coffee.) ประโยคคำถาม
(Have you got
a pen?) ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ (Do
not you go
home.)
ประโยคขอร้องหรือบังคับ (You should
go there! หรือ You
must follow him) และประโยคอุทาน Oh , my gosh!!
แต่การสร้างประโยคดังกล่าวขึ้นอยู่กับ tenses
ประเภทที่สอง คือ compound sentence
หรือประโยคอเนกัตกประโยค
ก็คือ
ประโยคที่ประกอบด้วยประโยคใจความเดียวสองประโยคมารวมกันโดยอาศัยตัวเชื่อมาเป็นแกนนำ ตัวเชื่อมที่ใช้ก็จะมี 3
แบ คือ Co-ordinate conjunction
, 7 ตัว
คือ (and ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายคล้อยตามกันหรือเพิ่มเติมความคิด), or (ใช้เชื่อมประโยคที่ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง), nor (ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายคล้อยตามกันและเป็นประโยคปฏิเสธ), but (ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายขัดแย้งกัน, so (ใช้เชื่อมประโยคที่เป็นเหตุเป็นผลกัน โดยประโยคหน้า
so จะเป็นเหตุ)
, for (ใช้เชื่อมประโยคที่เป็นเหตุเป็นผลกันโดยหน้า for
จะเป็นผล) และ yet
(ใช้เชื่อมประโยคที่ขัดแย้งกัน)
การใช้ correlative
conjunction เป็นตัวเชื่อม ก็คือตัวเชื่อมที่เป็นคู่ ได้แก่
Either……or (คือใช้เชื่อมประโยคที่ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง Neither…..nor
ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายสอดคล้องกันเป็นประโยคปฏิเสธทั้งสองประโยค Not
only…..but also ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายสอดคล้องกัน Both…..and ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายคล้อยตามกันและ
และการใช้ conjunctive adverb
moreover , besides, furthermore
ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายสอดคล้องกัน otherwise
ใช้เชื่อมประโยตที่ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
However , sill , nevertheless
ใช้เชื่อมประโยคที่ขัดแย้งกัน thus,
therefore, consequently, hence,
accordingly ใช้เชื่อมประโยคที่เป็นเหตุเป็นผลกัน
ต่อมาก็คือ complex
sentence หรือ สังกรประโยค
คือ ประโยคที่มีเนื้อหาซ้อน ประกอบขึ้นมาจากสองประโยค ซึ่งมีความสำคัญไม่เท่ากัน คือ main
clause อ่านแล้วจะได้เนื้อความที่มีความสมบูรณ์ของตัวมันเอง ส่วน
subordinate clause เป็นประโยคที่ต้องอาศัย main
clause จึงจะได้เนื้อหาที่สมบูรณ์ เช่น This is
the house that
Jack bought lost
year ซึ่งประกอบด้วย main
clause : This
is the house.
และ subordinate clause
that Jack bought
last year. โดยจะใช้ตัวเชื่อมดังนี้ คือ subordinate conjunction
ได้แก่ if as,
that, because, if
since, before, after
etc, ใช้ telative pronoun
เชื่อม ได้แก่ who,
whom, whose, which
that, as, but,
what, of which where
และ relative adverb
ได้แก่ when, whenever,
where, why, wherever,
how
และสุดท้ายก็คือ compound-complex sentence
คือ
ประโยคที่มีตั้งแต่สอง independent clauses
ขึ้นไปและมี dependent clauses
ตั้งแต่
หนึ่งขึ้นไป ก็คือ มีทั้งประโยค
compound และ complex ปนกันอยู่ เช่น Since the
article seems to
sadist your needs,
we are enclosing
a copy and
we hope that
it will help
you find a
suitable solution to
your problem.
ส่วน adjective phrases
ประกอบด้วยคำคุณศัพท์
กับส่วนขยายคำคุณศัพท์
ซึ่งมีทั้งประเภทที่อยู่หน้าและอยู่หลังคำคุณศัพท์ เช่น very happy (อยู่หน้า) happy to
see you (อยู่หลัง) หน้าที่ของ
adjective phrases จะทำหน้าที่ขยายคำนาม ,
เป็นตัวเสริมประธาน, เป็นตัวเสริมกรรม, ขยายคำสรรพนามโดยอยู่ข้างหลังคำสรรพนามที่ขยาย ส่วนการทำ
adjective clause ให้เป็น phrases ที่มีประธาน เช่น which, that,
who ทำได้สองวิธีคือ เอาประธานและกริยา verb
to be ออกกับ เอาประธานออกแล้วเปลี่ยนกริยาแท้ให้เป็น -ing
เช่น The books
which are lost,
are not really
necessary. (Clause)
The books
cost are not
really necessary. (phrase)
Something that
smells bad may be rotten.
(clause)
Something smelling
bad may be
totfen (Phrase)
ดังนั้นการเริ่มต้มภาษาอังกฤษคือการเริ่มจากสิ่งที่เป็นพื้นบานตั้งแต่เริ่มท่อง A-Z และค่อยๆพัฒนามาเรื่อยๆตามลำดับ
จะทำให้เราได้รับความรู้และประสบการณ์
หากเราเริ่มต้นจากยากเลยอาจทำให้เด็กรู้สึกเบื่อ ไม่อยากเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ผมคิดว่าที่เด็กพูดว่า ไม่ชอบภาษาอังกฤษและมีทัศนคติที่ไม่ดี อาจะเป็นเพราะขาดการฝึกอบรมอย่างเป็นลำดับ และครูจัดการเรียนรู้ได้ไม่ดีพอ จะทำให้เด็กรู้สึกว่ายากและไม่ชอบภาษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น