วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

learning log 3 ในห้องเรียน

Learning  log  3  (ในคาบเรียน)
                คนในปัจจุบันใช้ภาษาอังกฤษแบบพอเข้าใจ  โดยใช้ภาษาง่ายๆ  แต่ในบางครั้งอาจสื่อสานได้ไม่ค่อยดีนัก  การที่เราต้องการจะสื่อความให้ได้ความหมายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามคำพูดที่ผู้พูดต้องการจะสื่อ  lenses  หรือกาล  จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง  ซึ่งการจะเป็นคำกริยาในประโยคภาษาอังกฤษจะบอกการกระทำของเราว่าสิ่งที่เรากระทำหรือประสบเกิดขึ้นแล้ว  หรือกำลังเกิดขึ้นหรือจะเกิดขึ้นในอดีตหรือดำเนินต่อเนื่องมาอย่างไร  ประโยคในภาษาอังกฤษจะใช้กาลที่แตกต่างกัน  ซึ่งแตกต่างจากภาษาไทยที่ไม่มีกาล  ซึ่งจะมีทั้งหมด  12  กาล
                ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต  เรียกว่า  past  tenses  ประกอบด้วย  4  tenses  คือ  past  simple  tense  คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วและจบลงไปแล้วในอดีต  past  continuous  tense  คือเหตุการณ์  2  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต  แต่ไม่พร้อมกัน  past  perfect  tense  คือเหตุการณ์  2  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต  แต่ไม่พร้อมกัน  เหตุการณ์หนึ่งจะต้องจบไป  เหตุการณ์ใหม่จึงจะเกิดขึ้น  และสุดท้าย  คือ  past  perfect  continuous  tense  คือ  เหตุการณ์  2  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและได้จบลงไปแล้ว  โดยจะต้องย้ำความต่อเนื่องของการกระทำว่ากระทำสิ่งหนึ่งและได้ทำต่อเนื่องไปจนถึงอีกการกระทำหนึ่งโดยไม่หยุด  จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีตก็ได้ดำเนินมายังปัจจุบัน
                เหตุการณ์ในปัจจุบันก็จะเรียกว่า  present  tenses  ประกอบด้วย  4  tenses  คือ  present  simple  tense  ซึ่งอาจเป็น  tense  ที่จะใช้บ่อยมาก  คือ  การกล่าวเหตุการณ์ที่เราได้กระทำลงไป  ณ  ปัจจุบัน  ใช้กับเหตุการณ์ความจริงของธรรมชาติ  และอาจรวมถึงการกระทำที่คิดว่าจะทำในอนาคตอันใกล้  แต่ต้องใช้กริยาวิเศษมาร่วมด้วย  present  continuous  tense  คือ  จะใช้กับเหตุการณ์ที่เรากำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูดหรือเหตุการณ์ที่กำลังจะกระทำในอนาคตอย่างแน่ชัด  present  perfect  tense  คือ  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตและได้ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน  หรืออาจจะเกิดต่อไปในอนาคต  หรืออาจเป็นเหตุการณ์ที่เราประทับใจอยู่ที่เพิ่งจบไป  present  perfect  continuous  tense  ที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและดำเนินมาถึงปัจจุบัน  และเน้นว่าจะดำเนินต่อไปแน่นอนในอนาคต  จากเหตุการณ์ในปัจจุบันแล้วก็คือ  เหตุการณ์การคาดว่าจะมีต่อไป  คือ  ในอนาคต
                เหตุการณ์ในอนาคตเราเรียกว่า  Future  tenses  ซึ่งจะประกอบไปด้วย  4  tense  คือ  ten  future  simple  tense  คือ  เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  จะใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดกับธรรมชาติหรือจงใจก็ได้  อาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้  future  continuous  tense  คือ  จะใช้กับเหตุการณ์  2  เหตุการณ์ในอนาคตที่เราคิดว่าตอนนั้นเราจะต้องกำลังทำอะไรอยู่แต่ต้องกำหนดเวลาที่แน่นอน  เหตุการณ์ที่เกิดก่อนจะใช้  future  continuous  tense  เหตุการณ์ที่เกิดหลังจะใช้  present  Simple  tense  future  perfect  tense  ใช้กับเหตุการณ์  2  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคตและจะเกิดขึ้นในเวลาใดเวลาหนึ่ง  โดยจะมีคำว่า  by  นำหน้ากลุ่มคำบอกเวลาพร้อมกันในอนาคตและจะเกิดขึ้นในเวลาใดเวลาหนึ่ง  โดยจะมีคำว่า  by  นำหน้ากลุ่มคำบอกเวลาและ  future  perfect  continuous  tense  ก็คือเหตุการณ์  2  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต  แต่ต้องการเน้นว่าเหตุการณ์แรกได้กระทำมาตลอดจนถึงเหตุการณ์เป็นจริง
                จากข้อมูลข้างต้นจึงถือว่า  tense  มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการใช้แต่งประโยค  แต่ละแบบเพื่อสามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจนมากขึ้น  เป็นการบอกถึงจุดประสงค์หรือการกระทำของเราว่ากระทำอย่างไรแบบไหน  และช่วงใดเวลาใด  จะเป็นอดีตปัจจุบัน  หรืออนาคตก็แล้วแต่  สำหรับคนไทยการเลือกใช้  tense  ให้ถูกต้องเหมาะสมอาจจะยังเป็นการยาก  เพราะรูปแบบของกริยาและประโยคของไทยยังแตกต่างกับภาษาอังกฤษ  แต่ภาษาไทยจะบอกเวลาชัดเจนว่า  วันไหน  เวลาใด  ช่วงใด  ซึ่งข้อแตกต่างจากภาษาอังกฤษ  จำเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในอดีต  ปัจจุบัน  อนาคต  และจะต้องเปลี่ยนแบบประโยคและเปลี่ยนรูปกริยาอยู่ตลอด  ดังนั้นคนไทยจึงใช้  tense  ผิดบ่อย  และจะใช้  present  simple  tense  ในการพูดมากไม่ว่าจะเกิดแล้วหรือยังไม่เกิด  ใช้พอสื่อสารกันได้ก็เป็นพอ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น