Learning log
3 (ในคาบเรียน)
คนในปัจจุบันใช้ภาษาอังกฤษแบบพอเข้าใจ โดยใช้ภาษาง่ายๆ แต่ในบางครั้งอาจสื่อสานได้ไม่ค่อยดีนัก การที่เราต้องการจะสื่อความให้ได้ความหมายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามคำพูดที่ผู้พูดต้องการจะสื่อ lenses หรือกาล จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งการจะเป็นคำกริยาในประโยคภาษาอังกฤษจะบอกการกระทำของเราว่าสิ่งที่เรากระทำหรือประสบเกิดขึ้นแล้ว
หรือกำลังเกิดขึ้นหรือจะเกิดขึ้นในอดีตหรือดำเนินต่อเนื่องมาอย่างไร ประโยคในภาษาอังกฤษจะใช้กาลที่แตกต่างกัน ซึ่งแตกต่างจากภาษาไทยที่ไม่มีกาล ซึ่งจะมีทั้งหมด 12 กาล
ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เรียกว่า
past tenses
ประกอบด้วย 4 tenses
คือ past simple
tense คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วและจบลงไปแล้วในอดีต past
continuous tense คือเหตุการณ์ 2
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
แต่ไม่พร้อมกัน past perfect
tense คือเหตุการณ์ 2
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
แต่ไม่พร้อมกัน
เหตุการณ์หนึ่งจะต้องจบไป
เหตุการณ์ใหม่จึงจะเกิดขึ้น
และสุดท้าย คือ past perfect continuous
tense คือ เหตุการณ์
2
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและได้จบลงไปแล้ว โดยจะต้องย้ำความต่อเนื่องของการกระทำว่ากระทำสิ่งหนึ่งและได้ทำต่อเนื่องไปจนถึงอีกการกระทำหนึ่งโดยไม่หยุด
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีตก็ได้ดำเนินมายังปัจจุบัน
เหตุการณ์ในปัจจุบันก็จะเรียกว่า present tenses
ประกอบด้วย 4 tenses
คือ present simple
tense ซึ่งอาจเป็น tense
ที่จะใช้บ่อยมาก
คือ
การกล่าวเหตุการณ์ที่เราได้กระทำลงไป
ณ ปัจจุบัน ใช้กับเหตุการณ์ความจริงของธรรมชาติ
และอาจรวมถึงการกระทำที่คิดว่าจะทำในอนาคตอันใกล้ แต่ต้องใช้กริยาวิเศษมาร่วมด้วย present continuous
tense คือ จะใช้กับเหตุการณ์ที่เรากำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูดหรือเหตุการณ์ที่กำลังจะกระทำในอนาคตอย่างแน่ชัด present perfect
tense คือ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตและได้ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน หรืออาจจะเกิดต่อไปในอนาคต
หรืออาจเป็นเหตุการณ์ที่เราประทับใจอยู่ที่เพิ่งจบไป present perfect
continuous tense ที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและดำเนินมาถึงปัจจุบัน และเน้นว่าจะดำเนินต่อไปแน่นอนในอนาคต จากเหตุการณ์ในปัจจุบันแล้วก็คือ เหตุการณ์การคาดว่าจะมีต่อไป คือ
ในอนาคต
เหตุการณ์ในอนาคตเราเรียกว่า Future tenses
ซึ่งจะประกอบไปด้วย
4 tense คือ ten
future simple tense คือ
เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
จะใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดกับธรรมชาติหรือจงใจก็ได้ อาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ future
continuous tense คือ จะใช้กับเหตุการณ์ 2
เหตุการณ์ในอนาคตที่เราคิดว่าตอนนั้นเราจะต้องกำลังทำอะไรอยู่แต่ต้องกำหนดเวลาที่แน่นอน เหตุการณ์ที่เกิดก่อนจะใช้ future
continuous tense เหตุการณ์ที่เกิดหลังจะใช้ present Simple
tense future perfect
tense ใช้กับเหตุการณ์ 2
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคตและจะเกิดขึ้นในเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยจะมีคำว่า
by นำหน้ากลุ่มคำบอกเวลาพร้อมกันในอนาคตและจะเกิดขึ้นในเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยจะมีคำว่า
by
นำหน้ากลุ่มคำบอกเวลาและ
future perfect continuous
tense ก็คือเหตุการณ์ 2
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต
แต่ต้องการเน้นว่าเหตุการณ์แรกได้กระทำมาตลอดจนถึงเหตุการณ์เป็นจริง
จากข้อมูลข้างต้นจึงถือว่า tense มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการใช้แต่งประโยค
แต่ละแบบเพื่อสามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
เป็นการบอกถึงจุดประสงค์หรือการกระทำของเราว่ากระทำอย่างไรแบบไหน และช่วงใดเวลาใด จะเป็นอดีตปัจจุบัน หรืออนาคตก็แล้วแต่ สำหรับคนไทยการเลือกใช้ tense ให้ถูกต้องเหมาะสมอาจจะยังเป็นการยาก
เพราะรูปแบบของกริยาและประโยคของไทยยังแตกต่างกับภาษาอังกฤษ แต่ภาษาไทยจะบอกเวลาชัดเจนว่า วันไหน
เวลาใด ช่วงใด ซึ่งข้อแตกต่างจากภาษาอังกฤษ จำเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน
อนาคต
และจะต้องเปลี่ยนแบบประโยคและเปลี่ยนรูปกริยาอยู่ตลอด ดังนั้นคนไทยจึงใช้ tense
ผิดบ่อย
และจะใช้ present simple
tense ในการพูดมากไม่ว่าจะเกิดแล้วหรือยังไม่เกิด ใช้พอสื่อสารกันได้ก็เป็นพอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น