วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

learning log 9 นอกห้องเรียน

Lerning  log  9  (นอกห้องเรียน)
        การทำการใดของแต่ละคนไม่สามารถเจาะจงเวลาได้อย่างชัดเจน  เพราะแต่ละวันคนเรามีหน้าที่  มีกิจกรรมที่ต่างกัน  การฝึกฝนภาษาอังกฤษก็เช่นกัน  ไม่มีเวลาที่จะต้องกำหนดชัดเจนว่าเราจะต้องฝึกแบบนี้  เวลาเท่านี้  เพราะฉะนั้น  เราควรปรับตัวการดำเนินชีวิตของเขาให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเราเองให้มากที่สุด  คนจะเก่งภาษาไม่ใช่เก่งแค่เนื้อหาหลักการต่างๆ  หากถ้าเก่งเนื้อหาและนำไปใช้ประยุกต์ใช้ไม่เป็นก็ไม่เกิดประโยชน์  จากการเรียนรู้นอกห้องเรียนสามารถสรุปได้ดังนี้
        29  กันยายน  2558  เป็นวันที่ผมได้มีโอกาสไปร่วมแสดงความยินดีในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรที่ราชภัฏสุราษฎร์ธานีกับครอบครัวของพี่สาว  ผมจึงมีเวลาในการน้อย  ในระหว่างการเดินทางผมได้เปิดวิทยุตั้งแต่เริ่มออกจากบ้าน  ขับรถไปประมาณครึ่งชั่วโมงสัญญาณก็หายไป  ผมค้นหาสถานีอื่นและได้พบสถานีหนึ่งมีการพูดแบบภาษาอังกฤษ  ผมจึงตัดสินใจฟังไปเรื่อยๆ  เป็นการเล่าข่าวเหตุการณ์ในภาคใต้  มีโจรวางระเบิดสองจุดในจังหวัดนราธิวาส  พร้อมมีขั้นรายการด้วยการเปิดเพลง 
        ในช่วงตอนค่ำเป็นเวลาที่ผมเดินทางกลับบ้านและได้เปิดวิทยุอีกครั้งเจอรายการรองคุณสุนทร  ฝอยทอง  ท่านจะเปิดรายการโดยพูดภาษาอังกฤษ  ทักทายผู้ฟัง  และรายงานพยาการณ์ทุกวัน  ผมจะสามารถฟังภาษาอังกฤษ  และพูดได้ดีกว่านี้  แต่หลักไวยากรณ์จะไม่มี
        30  กันยายน  2558  เป็นวันที่มีการจัดปาร์ตี้ฮัลโลวีน  ณ  ห้องอเมริกัน  คอนเนอร์  เป็นรายวิชาของอาจารย์  ชาร์ค  ทุกคนแต่งตัวเป็นผีกันอย่างน่ากลัว  หลังจากกลับมายังห้องพักผมก็เริ่มสงสัยและเปิดหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต  โดยอ่านในรูปแบบภาษาอังกฤษแล้วค่อยอ่านภาษาไทยอีกรอบหนึ่งจึงสรุปได้ว่า
        ชาวเซ็ลต์เชื่อว่าทุกวันที่  31  ตุลาคมของทุกปีจะเป็นวันที่ประตูนรกถูกเปิดออก  ทำให้เหล่าวิญญาณพยายามเข้าสิงมนุษย์  ดังนั้นพวกเขาจึงหาวิธีป้องกันโดยการปลอมตัวเป็นผี  ดับเทียนแล้วทำตัวเองให้หน้ากลัว  จากนั้นก็ออกไปตามบ้านของผู้คน  สร้างความน่ากลัวและขับไล่วิญญาณ  และเชื่อว่าผู้ที่เกิดในวันนี้จะมีความสามารถในการทำนายฝัน  จากการศึกษาเรื่องวันฮัลโลวีนเราสามารถฝึกทักษะการอ่านและการแปลได้และสามารถนำไปประยุกต์กับการแปลได้  และสิ่งที่ได้อีก  คือ  หลักไวยากรณ์  เพราะในบทความจะใช้หลักไวยากรณ์หลายอย่าง
                1  ตุลาคม  2558  ผมเรียนรู้ทักษะทางภาษอังกฤษจากเพลง  We  can’t  Stop  ของ  Miley  Cyrus  เป็นเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งเขาชอบใช้ชีวิตสนุกสนานในแบบของเขา  และจะไม่หยุดมัน  ชีวิตเป็นของเขา  เขาจะจูบใคร  จะมีอะไรกับใครก็ได้  จะไม่มีใครมาห้ามเขา  และเขาจะไม่สนใจใคร
จากการได้ฟังเพลง  เพลงนี้  ตอนแรกก็ฟังไม่ค่อยเข้าใจเพราะเขาใช้ภาษาที่ฟังยากมาก  อาจเป็นเพราะเราไม่ถนัดนาสำเนียงนี้  จนต้องเปิดแบบที่มี  Lyric  แล้วฝึกร้องตามแล้วดูวีดีโอแล้วเดาคำศัพท์ที่เราไม่รู้  หลังจากนั้นก็เปิดเนื้อเพลงที่มีการแปลเป็นภาษาไทย  ซึ่งจะทำให้เราได้เรียนรู้คำศัพท์จากเพลงและไวยากรณ์จากเพลง  และสามารถฝึกการออกเสียงได้ด้วย  ผมคิดว่าการฟังเพลง  การดูหนังมากๆจะทำให้เราฝึกทักษะหลายๆทักษะได้ในเวลาเดียวกัน
ตุลาคม  2558  ผมได้อ่านเจอจากเว็บไซต์หนึ่ง  คือ  สิ่งง่ายๆที่จะทำให้เราเก่งการพูดภาษาอังกฤษ  คือ  การใช้คำต่างๆให้เป็นภาษาอังกฤษให้มากขึ้น  ผมจึงทดลองกับเพื่อนที่อยู่ในห้องติดกัน  ครั้งแรกที่ผมเดินเข้าไปในห้องของเขาผมพูดว่า  I  am  very  hungry.  คำแรกที่เพื่อนผมพูดคือ  “พูดภาษาบ้าอะไรอีก”  ผมหัวเราะและบอกเขาว่าการที่เราทำแบบนี้จะทำให้เราเก่งภาษามากขึ้น
ผมเริ่มใช้ภาษาอังกฤษกับการใช้ของในห้องให้มากขึ้น  ผมคิดว่ามันน่าจะฝึกทักษะการจำคำศัพท์และนำไปใช้ได้ดีขึ้น  ผมคิดว่าวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดี  เพราะผมสังเกตว่าหลังจากที่ผมเริ่มพูดคำว่า  โทรศัพท์เป็น  smart  phone  และอีกหลายๆคำ  เพื่อก็เริ่มพูดตามผม  ผมรู้สึกว่ามันสนุกและคิดว่าจะนำมาใช้ทุกๆวัน
3  ตุลาคม  2558  การฝึกทักษะวันนี้  เริ่มจากการเห็นหลานดูนิทานอิสป  เลยบอกให้หลานดูแบบที่มีภาษาอังกฤษด้วย  ผมเลยดูพร้อมหลาน  แต่ที่ผมสนใจ  คือ  สุภาษิต  คำพังเพย  เลยศึกษาเรื่องคำสุภาษิตจากเว็บไซต์  เช่น  Greed  oft  o’er  reaches  itself.  โลกมาก  ลาภหาย  People  have  more  experience  is  god  teacher  ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่อาจได้รับอันตราย
                จากการฝึกฝนดังกล่าวทำให้เราได้เรียนรู้คำศัพท์เพิ่มเติม  แต่อาจได้ไม่มาก  เพราะส่วนใหญ่จะเป็นคำศัพท์ที่เรารู้มาแล้ว  แต่ก็เป็นการทบทวน  และได้ฝึกทักษะการอ่านออกเสียง  แต่สิ่งที่สำคัญ  คือ  คำสุภาษิต  ไม่ได้มีความหมายตรงตามตัวภาษาไทยทุกตัว  แต่จะเป็นคำหรือประโยคที่เราจะต้องใช้ทักษะด้านการอ่านตีความ  วิเคราะห์  และคนส่วนใหญ่มักจะใช้ผิด  เพราะจะต้องจำทั้งหมด
4  ตุลาคม  2558  ฝึกทักษะทางภาษาจากรายการ  Click  ของ  มหิดล  เรื่อง  Pronunciation  เทคนิคการออกเสียงแบบสนุกเป็นการฝึกออกเสียงคำศัพท์ให้มีความชัดเจน  เพราะบางครั้งเราอาจออกเสียงได้ไม่ถูกต้อง  เช่น  cyst  (ซิสท)  เป็น  seed  (ซีด)  และคำที่อื่นๆ  ดังนั้นเมื่อเราออกเสียงผิดจะทำให้คนที่เราพูดอยู่เข้าใจความหมายผิด  และสื่อสารกันไม่เข้าใจ
                จากการฝึกทักษะดังกล่าวผมได้เรียนรู้การออกเสียงการพูดและเทคนิคการพูดให้มีความชัดเจน  และมีเทคนิคอีกอย่างหนึ่ง  คือ  ถ้าเราไม่แน่ใจเราควรเปิดพจนานุกรมดูคำอ่านให้ชัดเจน  จะทำให้เราสื่อสารกันได้ถูกต้อง  และจากรายการมีการยกตัวอย่างประโยค  และมีกราฟฟิคประกอบ  ทำให้เราเข้าใจเนื้อหามากขึ้น  เช่น  ถ้าเราจะพูดคำว่า  ในร่างกายของเรามีก้อนซีสต์อยู่เราก็ต้องพูดว่า  I  have  a  cyst.  แต่บางครั้งคนไทยมักจะออกเสียงเป็น  I  have  a  seed.  ซึ่งจะทำให้ความหมายไปคนละทางกัน
5 ตุลาคม  2558  ฝึกทักษะทางภาษาอังกฤษจากรายการ  Click  เรื่อง  My  holiday  ภาษาอังกฤษกับการท่องเที่ยว  จากวิดีโอจะเป็นการเริ่มต้นท่องเที่ยวตั้งแต่การเลือกสถานที่  เช่น  go  upcountry  และจะมีคำศัพท์และประโยคที่ใช้คำศัพท์ต่างๆให้เป็นอย่างชัดเจน  จึงทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น  เช่น 
tropical  country  =  Thailand  is  a  tropical  country.
Floating  market  =  Thailand  have  a  lot  of  floating  market.
                จากการศึกษาทำให้ผมรู้ว่าการทำกิจกรรมแค่หนึ่งอย่าง  สามารถใช้คำพูดหรือประโยคมากมาย  จากเรื่องนี้มิได้มีแค่คำศัพท์และประโยคแต่เราสามารถออกเสียงและเรียนรู้หลักไวยากรณ์  เรื่องต่างๆได้อย่างมากมาย  และไม่ใช่แค่เรียนรู้ทักษะทางภาษาอังกฤษ  แต่ยังได้รับความรู้รอบตัว  และความสนุก
                จากการฝึกฝนทักษะทางภาษาอังกฤษในอาทิตย์นี้  สิ่งที่ผมได้ฝึกมากที่สุดน่าจะเป็นการออกเสียง  และได้เทคนิคและเคล็ดลับสำหรับการฝึกทักษะมากมาย  การฝึกทักษะทางภาษาอังกฤษไม่จำเป็นต้องกำหนดเวลาที่ชัดเจน  แต่สามารถฝึกได้  ทุกที่  ทุกเวลา  แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด  คือ  การเปิดใจยอมรับ  หากเรายังคิดว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ยาก  แสดงว่ายังไม่พร้อมที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษ  ยิ่งฝึกมากยิ่งสามารถนำไปใช้ได้มาก






learning log 9 ในห้องเรียน

Leaning  Log  9  ( ในห้องเรียน )
                ในการดำเนินชีวิตของแต่ละคนมีการใช้ภาษาอังกฤษมากมาย  แต่ในบางครั้งเขาไม่รู้เลยว่าเขาได้ใช้ภาษาอังกฤษ  เช่น  Oh  my  God!  และบางครั้งเรารู้ว่าเขาพูดภาษาอังกฤษแต่ไม่รู้ว่าเป็นการพูดแบบใด  การพูดส่วนใหญ่จะไม่เน้นไวยากรณ์  และในความคุ้นชินบางประโยคก็ตรงถูกต้องตามไวยากรณ์  และสิ่งที่คนส่วนใหญ่พูดมากจะเป็นเรื่องของ  clause  และจากเนื้อหาในห้องเรียนที่ได้เรียนในวันที่  20  ตุลาคม  เป็นการเรียนเรื่อง  Reduction  of  time  clause
                Reduction  of  time  clause  หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  Adverb  clause  of  time  คือ  อนุประโยคที่บอกเกี่ยวกับเวลา  และมักจะพบตัวเชื่อมเป็น  when,  before,  after,  since,  as  soon  as,  till,  until,  whenever  เช่นตัวอย่างประโยค  She  will  go  when her  father  arrives.  จากประโยค  when  her  father  arrives  คือ  adverb  clause  of  time  ที่ไปขยายประธานใน  main  clause  ก็คือ  go
                การลดรูปของ  adverb  clause  of  time  จะสามารถลดรูปได้ก็ต่อเมื่อ  ประธานใน  main  clause  และ  subordinat  clause  เป็นตัวเดียวกัน  The  seed  is  sown  before  it  is   waterrd.  และจากประโยค  The  seed  และ  it  คือ  สิ่งสิ่งเดียวกันจึงสามารถลดรูปด้วยการตัด  it  ออก  เหลือเพียง  The  seed  is  sown  before  is  watered.
                และอีกแบบ  คือ  ถ้าใช้ประโยค  adverb  clause  of  time  มีประธานในประโยคที่ไม่ได้เจาะจง  เช่น  people,  we,  scientists,  nurse  เป็นประธานในประโยคจะสามารถลดรูปได้  เช่น  When  a  nurse  obserres  the  patient,  the  ease  and  difficulty  of  breathing  are  noted.  จากประโยคสามารถลดรูปประธานออก  คือ  a  nurse  และเปลี่ยนกริยาให้อยู่ในรูป  present  participle  จะได้  When  observing  the  patient,  the  ease  and  difficulty  of  breathing  are  noted.
                Adverb  clause  of  time  ที่ไม่สามารถลดรูปได้  คือ  เมื่อประธานในประโยคหลักและประโยครองเป็นคนละตัวกัน  เช่น  After  John  come,  Mary  left.  และอีกประการหนึ่ง  คือ  เมื่อการกระทำในประโยค  Adverb  clause  of  time  ปรากฏ  ณ  เวลาในขณะนั้น  และมีใจความที่สมบูรณ์จะไม่สามารถลดรูปได้  เช่น  He  has  liveed  here  since  he  was  born.
                และถ้าต้องการลดรูป  Adverb  clause  of  time  ที่ขึ้นต้นด้วย  after,  before,  since  โดยการละประธานในประโยค  แต่ประธานจะต้องเป็นตัวเดียวกันและเปลี่ยนกริยาเป็น  Verb-ing  เช่น  After  he  finished  high  school,  he  continued  his  studies  for  bachelor  degree.  เป็น  After  finishing  high  school,  he  continued  his  studies  for  bachelor  degree.
                และถ้ากริยาอยู่ในรูปของ  present  participle,  past  participle  หรือกริยาช่วย  เช่น  have,  has  หรือ  had  เปลี่ยนกริยาเป็น  having  ตามด้วย  past  participle  หากเป็นรูป  Active  และทำเป็นรูป  passive  ให้เปลี่ยนเป็น  being  +  Past  participle  เช่น  After  he  had  finished  high  school,  he  continued  his  studies  for  bachelor  degree  เป็น  After  he  having  finished  high  school,  he  continued  his  studies  for  bachelor  degree.  และเมื่อเปลี่ยนกริยาช่วยแล้ว  สามารถละประธานอีก  คือ  After  having  finished  high  school,  hecontinued  his  studies  for  bachelor  degree.  และ  After  finishing  high  school,  he  continved  his   studices  for  bachelor  degree.
                ข้อควรระวังสำหรับการใช้  after,  before  หรือ  since  ที่ตามด้วย  V.ing  ในโครงสร้าง  active  หรือ  passive  ไม่สามารถตามด้วย  V-ed  ได้  เช่น  The  seed  is  sown  before  it  is  watered.  สามารถลดรูปโดยการเปลี่ยนกริยาให้เป็น  V.ing  เช่น  The  seed  is  sown  before  being  watered  และ  “Prior  to”  สามารถใช้แทน  before  ในการลดรูปได้  เช่น  Before  the  seedling  manufacture  food  for  itself,  it  uses  up  the  food  stored  in  the  seed  เป็น  Prior  to  the  seedling  manufacture  food  for  itself,  it  uses  up  the  foodstored  in  the  seed.    
                สรุป  คือ  adverb  clause  ที่ขึ้นต้นด้วย  after,  before  หรือ  since  สามารถลดรูปได้ด้วยการเปลี่ยน  V.แท้เป็น  V.ing  ไม่ว่าจะอยู่ในรูป  active  หรือ  passive  และถ้าหากขึ้นต้นด้วย  once  และ  until  การลดรูปจะไม่เหมือนกัน  เพราะจะต้องตามด้วย  V.ed  ที่อยู่ในรูปของ  passive  voice
                จากการเรียนรู้ในห้องเรียนของวันนี้นอกจากที่เราจะได้เรียนรู้เรื่อง  Reduction  of  time  clause  แล้ว  เรายังได้เรียนรู้กระบวนการทำงานเป็นกลุ่มว่าการทำงานกลุ่มแบบใดจะทำให้งานออกมาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี  ผมคิดว่าการทำงานแบบนี้จะเป็นผลดี  เพราะจะได้ร่วมกันออกความคิดเห็น  เพื่อให้ได้งานที่ดี



learning log 8 นอกห้องเรียน

Learning  log  8  (นอกห้องเรียน)
                การฝึกทักษะนอกห้องเรียนถือเป็นการฝึกที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง  โดยไม่ต้องมีครู  แต่จะใช้เครื่องมือตามที่เราถนัด  บางคนชอบฝึกจากหนังสือ  บางคนชอบฝึกจากคอมพิวเตอร์  ซึ่งแต่ละคนคิดก็ถนัดที่แตกต่างกัน  ส่วนเรื่องที่จะฝึกแต่ละคนย่อมมีคอมสามารถความสนใจที่แตกต่างกัน  จึงทำให้มีการฝึกที่หลากหลาย  ผมเป็นคนที่ชอบใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์จึงชอบสื่อทักษะภาษาอังกฤษผ่านทางสื่อออนไลน์บ่ยอมาก  แต่การฟังเพลงบางครั้งไม่คิดว่าเป็นการฝึก  แต่สำหรับผมมันเป็นการฝึกที่ได้หลายทักษะเลยทีเดียว  ในแต่ละวันแต่ละอาทิตย์เราฝึกทักษะมากกมายซึ่งเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง
                22  กันยายน  2558  สืบเนื่องจากในคาบเรียนอาจารย์ได้แนะนำเว็บไซต์ตรวจสอบความรู้ทางคำศัพท์ในภาษาอังกฤษ  คือ  www.vocabularysize.com  ของ  Poul  Nation.  จากเว็บไซต์ดังกล่าวจะมีข้อสอบ  140  ข้อ  แบบปรนัย  4  ตัวเลือก  แล้วมีประโยคพร้อมเน้นสีคำศัพท์ในประโยคที่ต้องการจะถาม  แล้วจะมีตัวเลือกมาให้  แต่ละข้อจะเขียนขยายความคำศัพท์คำนั้นและจะมีคำตอบที่ถูกที่สุดเพียง  1  ข้อ
                จากการทำข้อสอบจึงสามารถสรุปได้ว่าผมอยู่ในระดับที่ควรจะพัฒนาพื้นฐานทางคำศัพท์ให้มากว่าเดิม  เพราะผมมีความรู้ด้านคำศัพท์น้อยเกินไป  และจากการทำผมได้เรียนรู้คำศัพท์เพิ่มขึ้นอีกมากมาย  จากตัวเลือกของข้อสอบที่เขียนขยายความหมายของคำไว้  ไม่ใช่คำศัพท์ที่เราได้แต่เรายังได้เสริมทักษะการอ่าน  และการคิด  การพิจารณาว่า  ความหมายในข้อใดครอบคลุมคำศัพท์มากที่สุด
                23  กันยายน  2558  ผมได้มีโอกาสไปดูหนังในโรงภาพยนตร์กับเพื่อนๆเรื่อง  แม่เบี้ย  เป็นหนังไทยโดย  ม.ล.พันธุ์เทวนน  เทวกุล  สาเหตุที่ผมคิดว่าเป็นการฝึก  คือ  จะมีคำศัพท์อธิบายภาษาอังกฤษอยู่เป็นตลอด  เริ่มหนังขึ้นมาก็เป็นการบอกชื่อของตัวละคร  โดยมีอักษรภาษาอังกฤษขึ้นมา  ทำให้เราได้อ่านไปเรื่อยๆ  เนื้อเรื่องเป็นหนังแนวอีโรติก  20+  เกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ไปบนเรือนไทยและต้องการเป็นเจ้าของทำให้ใกล้ชิดกับเจ้าของบ้านจนความสัมพันธ์เริ่มลึกซึ้ง  บ้านหลังนั้นเป็นบ้านมีคำสาป  มีงูเห่ายักษ์อาศัยอยู่ในสวนหลังบ้าน  แต่จะไม่ทำร้ายเจ้าของบ้าน  แต่จะทำร้ายผู้ชายที่เข้ายุ่งกับเจ้าของบ้านจนต้องตายทุกคน  ไม่มีใครรู้และพิสูจน์ได้ว่างูมาจากไหนและเป็นใคร  และเหตุการณ์ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้อยู่เรื่อยไป
                จากการดูหนังเรื่องนี้สื่อที่ผมได้  คือ  คำศัพท์  บางคำนอกเหนือจากคำที่เราไม่รู้โดยการเอา  ภาพและคำพูดของตัวละคร  ซึ่งเหมาะกับการฝึกทักษะทางคำศัพท์และการอ่าน  การคิดวิเคราะห์  แต่ในหนังเราจะไม่ได้ฝึกทักษะทางไวยากรณ์  เพราะเขาใช้ภาษาอังกฤษแบบแปลตามคำของไทย  พอเช้าไม่มีการจัดลำดับคำทางไวยากรณ์
                24  กันยายน  2558    ด้วยวันนี้เป็นวันที่ผมเขียนเสร็จเร็ว  และมีเวลาว่างระหว่างคาบเรียนพอสมควร  ผมจึงกลับมาถึงห้อง  เมื่อเปิดทีวี  ช่อง  Nation  เป็นช่องข่าวในประเทศไทย  แต่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อข่าว  แต่ในข่าวอาจอ่านข่าวเร็วเกินไป  ทำให้จับใจความได้ไม่สมควรดีพอ  ซึ่งถือว่าการฟังจ่าวเป็นการฝึกภาษาอังกฤษอีกทางหนึ่งที่เป็นทักษะการฟังที่ดี  แต่สำเนียงจะฟังง่ายกว่าเจ้าของภาษา  จากข่าวสามารถสรุปได้ว่า
                กองสาธารณะสุขชุมพรได้มีโครงการตรวจสอบสารปนเปื้อนฟอร์มาลีนในอาหารทะเลในตลาด  พบว่า  ในปลาหมึกยักษ์พบสารฟอร์มาลีนอยู่ในปริมาณมาก  จึงนำตัวแม่ค้ามาสอบถามพร้อมดำเนินการตามกฎหมาย  แม่ค้าอ้างว่าซื้อของมาจากห้างใหญ่ของจังหวัดชุมพร  กองสาธารณะสุขจึงเข้าไปตรวจสอบและได้พบว่าเป็นปลาหมึกญี่ห้อเดียวกันจึง  จึงดำเนินการห้างทางกฎหมาย
                25  กันยายน  2558  เรียนรู้ทักษะภาษาอังกฤษจาก  www.youtube.com  เพลง  I  will  Survive  ของ  Gloria  Gaynor  เป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่โดนทิ้งจากคนรัก  เขากลัวการที่จะอยู่ตัวคนเดียวเพียงลำพังและเขาก็บอกกับตัวเองว่า  เขาต้องอดทนและแข็งแรง  และวันหนึ่งชายคนนั้นก็กลับมาและนำความยุ่งยากมาสู่เธอ  เธอจึงให้เขาออกไปจากชีวิตเธอ  เพราะเธอเข้มแข็งและเธอต้องมีชีวิตรอดด้วยตัวเธอ  เธอจะต้องใช้ชีวิตต่อไปและไม่ตายหากไม่มีความรัก 
จากการได้ฟังเพลง  เพลงนี้มีจังหวะที่สนุกจนทำให้  เราร้องตามและอยากเปิดมันหลายรอบ  จนเป็นการฝึกทักษะทางภาษาอังกฤษที่ดีและสามารถสลายความเครียดได้ดี  เราสามารถฝึกการฟัง  การแปลคำศัพท์จากเพลง  และการพูดจากการร้องตาม  และได้รูปแบบไวยากรณ์จากเพลงอีกด้วย
                26  กันยายน  2558  การฝึกภาษาจาก  www.kengpasa.com  จะมีให้เราเลือกว่าจะฝึกเป็น  reading ,writing ,idioms  และเกมส์  แล้วแต่จะเลือก  วันนี้ผมเลือกจาก  reading  จากเรื่อง  Malaysia’s  largest  mall  opens  จะมี  text  มาให้เราอ่าน  แล้วมีตัวเป็นคำศัพท์  แล้วมีข้อสอบให้ทำจากการเดาความหมายจากบริบท
                จากบทความสามารถสรุปได้ว่า        นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียได้เปิดตัวห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ  คาดว่าเป็นโครงการที่จะเพิ่มจำนวนของนักท่องเที่ยวได้มาก  ใช้ชื่อ  Time  square  เช่นเดียวกับ  นิวยอร์คและห้างในโตเกียว  ใช้เงินสร้างประมาณ  487  ล้านดอลล่า  และคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวประมาณ  3  ล้านคน  ต่อปี
                จากบทเรียนดังกล่าวเราไม่เพียงแต่ฝึกทักษะการอ่าน  แต่เรายังสามารถเรียนรู้หลักไวยากรณ์  การแปล  และคำศัพท์  จากบททดสอบซึ่งอาจเป็นคำศัพท์ที่เราไม่รู้มาก่อน  หรือเป็นคำที่มีความหมายเหมือนกับคำที่เรารู้
                27  กันยายน  2558  จากเว็บไซต์ของวันที่  26  กันยายน  ผมได้เรียนรู้การเขียนภาษาอังกฤษ  โปรแกรมมีความน่าสนใจมาก  แต่ผมคิดว่ามันง่ายต่อผม  แต่อาจจะเป็นการทดลอง  เพื่ออาจจะนำไปใช้ในการสอนในอนาคต  เมื่อเราเข้าไปที่บทเรียน  writing  จะมีแบบฝึกเขียนให้เราหลายบท  ผมเลือกมา  3  บท  คือ  ศาสนา,อาหาร,สภาพอากาศ  เมื่อเข้าไปก็จะมี  แบบให้เรากรอกคำศัพท์ภาษาอังกฤษและจะมีคำแปลภาษาไทย  และคำอ่านมาให้  แล้วให้เด็กพิมพ์ภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง  และจะมีเฉลย  เช่น
                ร้านอาหาร,ภัตตาคาร
                ออกเสียง  :  เรสโทรอง                                                                     พิมพ์ที่นี่                                ตรวจ
                จากการฝึกดังกล่าว  สำหรับผมคิดว่าได้อะไรไม่มากได้แค่คำศัพท์เพียงเล็กน้อย  แต่มันสามารถเป็นแบบในการสอนในอนาคตของเราได้  เอาไปใช้กับเด็ก  ผมคิดว่าเป็นสื่อที่ดึงดูดความสนใจของเด็กได้เป็นอย่างดี
                28  กันยายน  2558  ผมอยู่หอของญาติและอยู่ติดกับบ้านของญาติ  ยายของผมมีหลานชายมักให้ผมสอนอยู่บ่อยครั้งและจากการบ้านของหลาน  คือเรื่องของ  Question  tag  และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ผลศึกษาเรื่องนี้  เพราะผมยังมีความรู้เรื่องนี้ไม่ดีและอาจจะลืมๆไปบ้าง  เพราะไม่ค่อยได้ใช้  จึงเปิดจากอินเตอร์เน็ตและเรียนไปพร้อมๆหลาน  และเมื่อมาดูอีกครั้งอาจทำให้เหมือนการทวนความรู้เดิมอีกครั้งและทำให้เราเข้าใจเร็วกว่า
                Question  tag  คือ  การตั้งคำถามเพื่อเป็นการย้ำแบบเชิงเสนอความคิดเข้าไปด้วย  เช่น  Are  you  hungry?  ก็เป็น  Are  you  hungry , aren’t  you?  เป็นการย้ำเพื่อความแน่ใจ  หลักการใช้งาน  คือ  ถ้าประโยคเป็นบอกเล่า  Question  tag  จะเป็นปฏิเสธ  ถ้าประโยคเป็นปฏิเสธ  Question  tag  จะเป็นบอกเล่าและทำให้ประโยคมีกริยาช่วยก็เอากริยาช่วยมาไว้ในส่วน  Question  tag  ด้วย  ถ้าในประโยคไม่มีกริยาช่วยก็ต้องเอา  Verb  to  do  มาช่วย
ถ้าในประโยคมีประธานเป็นคำศัพท์นามให้ใช้คำสรรพนามกับ  Question  tag  ได้  และประโยคทั้ง  2  จะต้องมีกาลเวลาที่เท่าเทียมกัน
                จากการศึกษาเรื่อง  Question  tag  ไปพร้อมๆกับหลานก็คือการฝึกทักษะทางภาษาอังกฤษในเรื่องไวยากรณ์  และทำให้เราได้เข้าใจในเนื้อหามากขึ้นและสามารถนำไปใช้ได้ถูกต้อง
                จากการฝึกทักษะทางภาษาอังกฤษ  ภายในหนึ่งอาทิตย์ผมได้ฝึกทักษะทั้งอ่าน  ฟัง  พูด  และเขียน  ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานทางภาษาอังกฤษทั้งสิ้น  สามารถทำให้เรามีความรู้ความเข้าใจในภาษาอังกฤษมากขึ้น  ไม่ว่าจะโดยวิธีใดก็ตาม  เพราะแต่ละคนถนัดคนละแบบกัน  แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นวิธีใด  เราก็สามารถฝึกทักษะทางภาษาได้ด้วยตัวเราเอง  และกลายเป็นองค์ความรู้ของตัวเราเอง




learning log 8 ในห้องเรียน

Learning  log8  (ในห้องเรียน)
        ทักษะในภาษาอังกฤษไม่ว่าจะเป็น  ฟัง  พูด  อ่าน  เขียน  ล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์กันทั้งสิ้น  และแต่ละในทักษะก็จะมีทักษะย่อยๆเข้ามาร่วมกันอีกมากมาย  เช่น  ทักษะการฟังก็จะต้องคิดวิเคราะห์ตาม  รวมถึงรายวิชาการแปลก็เช่นกัน  มีทักษะที่เข้ามาร่วมกันมากมาย  เช่น  ทักษะการอ่าน  การคิด  วิเคราะห์  เป็นต้น  ในการแปลเราจะใช้ทักษะการคิดมาก  เพราะต้องวิเคราะห์ออกมาให้ได้ว่าประโยคแต่ละประโยคเป็นแบบใด  เป็นประโยค  simple compound  หรือ  complex  หรืออาจเป็น  phrase  เป็น  clause
        ดั่งในคาบเรียนของวันนี้เรียนเนื้อหาเรื่อง  noun  clause,  noun  clause  คือ  อนุประโยคที่ทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นคำนามในประโยค  ในการสนทนา  ในชีวิตประจำวัน  แต่บางครั้งในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา  เราอาจใช้ประโยคดังกล่าวแต่เราอาจไม่รู้  เช่น  I  think  you’re  very  pretty.  มาจากประโยค  noun  clause  ที่ว่า  I  think  that  you’re  very  pretty.  และเมื่ออยู่ในตำแหน่งประธานจะเรียกว่า  subject  noun  clauses  เช่น  That  scores  are  going  down  is  car  และเมื่ออยู่ในตำแหน่งกรรมจะเรียกว่า  object  noun  clause  เช่น  I  don’t  know  where  she  is.
        Object  noun  clause  จะอาศัยอยู่กับ  main  clause  ของประโยค  โดยประโยคจะเริ่มด้วย  main  clause  แล้วตามด้วย  object  noun  clause  โดยไม่ต้องมีเครื่องหมาย  comma  คั่น  object  noun  clause.  จะมี  3  ประเภท
ได้แก่  1. Noun  clause  ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า  “that
    2. Noun  clause  ที่ขึ้นต้นด้วย  “Wh-words”  หรือ  question  words
    3. Noun  clause  ที่ขึ้นต้นด้วย  if  หรือ  whether.
        การใช้  noun  clause  ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า  that  คือใช้ตามหลัง  verbs  ที่แสดงความรู้สึก  ความคิด  หรือความคิดเห็น  เช่น  I  agree  that  we  should  follow  him.  และเมื่อเป็นภาษาพูดเราจะละคำว่า  that  ซึ่งเป็นคำขึ้นต้น  clause.  เช่น  I  think  it’s  red,  not  blue.  ซึ่งมาจาก  I  think  that  it’s  red,  not  blue.  และ  verbs  ใน  main  clause  จะเป็น  present  tense  แต่  verbs  ใน  noun  clause  จะเป็น  tense  อะไรก็ได้  เช่น  I  believe  it’s  raining.  ในการสนทนา  ถ้าต้องการหลีกเลี่ยงการพูดคำว่า  that  บ่อยเกินไป  หรือไม่ต้องการพูด  noun  clause  ซ้ำ  สามารถตอบโดยใช้คำว่า  so  หรือ  not  หลัง  main  clause  ได้
        การใช้  noun  clause  ที่ขึ้นต้นด้วย  Wh-words  การใช้  noun  clause  ที่ขึ้นต้น  Wh-word  ได้แก่คำว่า  what  where  when  why  how  มีหลักเกณฑ์  คือ  แม้ว่าจะขึ้นต้นด้วยคำแสดงคำถาม  แต่ลำดับคำจะเรียงเป็นประโยคบอกเล่า  ไม่ใช่ลำดับประโยคคำถาม  เช่น  I  know  why  he  comes  home  very  late.
และเครื่องหมายวรรคตอนของประโยคจะเป็นไปตามลักษณะของ  main  clause  และใช้  noun  clause  ที่ขึ้นต้นด้วย  wh-word  เพื่อแสดงให้คู่สนทนา  ความจำ  เราไม่รู้หรือเราไม่แน่ใจ  เช่น  I  don’t  know  how  much  it  costs.  และจะใช้  noun  clause  ที่ขึ้นต้นด้วย  wh-words  เพื่อถามหาข้อมูลสุขภาพและสุดท้ายการใช้  noun  clause  ที่ขึ้นต้นด้วย  if  หรือ  whether  หรือ  indirect  yes/no  questions  นั่นเอง  และลำดับในประโยค  word  order  และเครื่องหมายจบประโยคใช้หลักเกณฑ์เดียวกับ  noun  clauses  ที่ขึ้นต้นด้วย  wh-words  และ  noun  clause  จะขึ้นต้นด้วย  if  หรือ  weather  ก็ได้  และมักจะใช้  whether  ในกรณีที่เป็นทางการ  ใช้  if  หรือ  weather  เมื่อประโยค  main  clause  แสดงการใช้ความคิด  หรือความคำนึง  และใช้เมื่อต้องการคำถามอย่างสุภาพ
        ดังนั้นจากข้อมูลทั้งหมดจะช่วยให้เรานำไปใช้เชื่อมโยงกับการแปลให้ผลงานออกมามีคนถาม  เพราะถ้าเราแปลออกมาไม่หมดแสดงว่าเรายังไม่ชัดเจนในเรื่องนั้น  เพราะว่าเรื่อง  noun  clause  สามารถละคำได้ไว้ในฐานที่เข้าใจ  แต่ถ้าเรายังแยกประโยคได้ไม่ถูกต้องเราก็ไม่สามารถทำงานแปลให้ได้ดี  ดังนั้นการจะแปลผลงานให้ออกมาดีต้องมีความชัดเจน  และข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่แค่ช่วยในเรื่องวิชาแปลแต่จะสามารถช่วยวิชาการเขียนอีกด้วย  เพราะทักษะต่างๆทางภาษาอังกฤษจะมีความเชื่องโยงกัน






learning log 7 นอกห้องเรียน

Learning  Log  7  (นอกห้องเรียน)
โลกโซเชียลถือว่าได้รับการยอมรับสำหรับคนทุกๆกลุ่มทั่วโลก  ในปัจจุบันโซเชียลเป็นตัวการในการสื่อสารที่มีความสะดวกสบายและอาจเป็นจุดที่ก่อให้คนเกิดความอยากรู้อยากเห็น  จนนำไปสู่การต่อยอกโดยการค้นหาความจริง  กระแสสังคมหรือข่าวสารต่างๆ  ถูกแชร์หรือนำออกมาเผยแพร่ทางโลก                   โซเชียล  บางเรื่องอาจไม่สะดุดตาผู้อ่านแต่มองผ่านไปแต่บางเรื่องอาจสะดุดสายตาจนต้องการรู้เพิ่มเติม  และนั้นคือ  จุดกำเนิดของการเรียนรู้
ผลเป็นคนหนึ่งที่ได้ใช้โซเชียลในการสื่อสารและรับข้อมูลข่าวสารโดยผ่านทาง  Facebook  และเกิดสนใจเรื่องเรื่องหนึ่ง  คือ  เด็กอายุ  11  ขวบ  ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช  อัดคลิปร้องเพลงสากล  Rolling  in  The  Deep  แล้วเผยแพร่ผ่านทางโซเชียลและมียอดเข้าชมเป็นแสน  จึงทำให้เรื่องนี้เป็นที่พูดกันอย่างมากในสังคมออกข่าวดังทั่วประเทศ  จึงทำให้ผมสนใจในเรื่องราวต่างๆ  ในข่าวรวมถึงเพลงนี้ด้วย
ผมจึงตัดสินใจเข้าไปดูคลิปที่เด็กเอามา  Cover  แล้วไปดูฉบับของจริงแต่ตอนแรกก็ดูแบบไม่ได้คิดอะไร  แต่เมื่อมาวันนี้ข่าวนี้ได้มีคนแชร์กันอีกครั้งในโลกโซเชียล  ผมจึงกลับไปย้อนดูเพลงอีกครั้ง  เพราะ  คิดว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่ทำให้ผมได้ฝึกทักษะทางภาษาอังกฤษได้แน่นอน
จากเนื้อหาของเพลง  สามารถสรุปได้ดังนี้  ชื่อเพลง  Rolling  in  The  Deep  ขับร้องโดย  Adele  ในใจของฉันมีดวงไฟกำลังลุกโชน  และจะเป็นดวงไฟที่จะพาฉันออกไปจากความมืด  บาดแผลจากความรักของเธอทำให้ฉันนึกถึงตอนที่เธออยู่ด้วยกัน  มันทำให้ฉันเกือบตาย  เพราะหลงเชื่อเธอ ก็คือการหูตาสว่างจากการที่คนรักหักหลัง
จากการฟังและการดูวิดีโอจากบทเพลง  ผมสามารถฝึกทักษะการฟังและการพูด  การ  Stress  คำ  และการ  link  คำ  ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นทางภาษาอังกฤษ  และได้คำศัพท์จากบทเพลงที่ไม่รู้มาก่อน  นอกเหนือจากนั้น  ความรู้ที่ได้ความบันเทิงก็เป็นส่วนหนึ่งได้จากเรื่องนี้
การเรียนรู้ของคนสามารถเกิดได้ทุกที่ทุกเวลา  ขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละคน  จากการใช้งานในโลกโซเชียล  สามารถต่อยอดเป็นการเสริมทักษะต่างๆ  ได้มากมายไม่ใช่แต่การเรียนรู้ข้อมูลข่าวสาร  และจากการต่อยอด  ไปกับการได้ฟังเพลง  คือเป็นการคลายเครียดและการผ่อนคลายที่ได้ทั้งความสนุกและความรู้ไปพร้อม  แต่ในทางกลับกันโดยโซเชียล  ถึงแม้ว่าจะเป็นจุดกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้อยากเน้นไปสู่การเกิดความรู้  ยืนยาวเป็นจุดที่ให้โทษแต่เราก็ได้หากไม่เป็น ใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม  ดั่งเป็นในการใช้ข้อมูลโลกโซเชียลควรใช้ให้เกิดผลดีต่อตัวเองให้มากที่สุด


learning log 7 ในห้องเรียน

Learning  log  7  (ในห้องเรียน)
                หัวใจของภาษาอังกฤษ  คือ  หลักไวยากรณ์  แต่หลายๆคนคิดว่าหลักไวยากรณ์มีแค่เรื่อง  กาล  (tenses)  แต่ในความเป็นจริงหลักของการใช้ไวยากรณ์ในภาษอังกฤษมีมากมาย  คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจเรื่องไวยากรณ์มากนัก  เพราะเขาไม่ค่อยได้ใช้  โดยทั่วไปเขาใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารมากกว่า  ทักษะอื่นและการพูดส่วนใหญ่จะไม่เป็นหลักไวยากรณ์  เพราะเอาแค่เราสามารถสื่อสารได้ก็เป็นอันว่าได้  แต่เมื่อเชื่อมมาสู่ทักษะการเขียน  การอ่าน  หลักไวยากรณ์  ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
                ในการเขียนเราจะต้องเอาหลักไวยากรณ์เข้ามาเกี่ยวข้องมากมายเกือบจะทุกเรื่องก็ว่าได้  เช่น  การเขียนเล่าเรื่องจะต้องใช้  tense  อะไร  มีกริยาอยู่ในรูปใด  ประธานเป็นเอกพจน์  กริยาจะเติมอะไรเป็นต้น  และรวมถึงในการอ่านเราจะต้องเข้าใจหลักไวยากรณ์ด้วยเพราะจะทำให้เราอ่านและถอดแปลความเนื้อหาจากเรื่องที่อ่านได้อย่างชัดเจนถูกต้องและครบถ้วน  คือ  ในคาบเรียนอาจารย์ได้สอนเรื่อง  If-clause
                If-clause  หรือเรียกว่าประโยคเงื่อนไขใช้ในการสมมุติเหตุการณ์ต่างๆที่เราอยากให้เป็น  สามารถแบ่งได้เป็น  3  ประเภท  ถ้าพูดในแบบภาษาในปัจจุบันหรือภาษาที่วัยรุ่นใช้กันมากก็คือ  “การมโน”  หรือการคาดคิด  อาจจะเป็นไปได้หรือไม่ได้ก็แล้วแต่  ถ้าเป็นไปได้ก็อาจจะช่วงเวลาที่ไกลออกไป  อาจใช้เวลานานกว่าจะเกิด  สำหรับตัวผมผมคิดว่า  If-clause  ถือเป็นไวยากรณ์ที่ทำให้เรามีเป้าหมายชีวิตก็เป็นได้  เพราะเราจะใช้มันในการสมมุติสิ่งที่จะเกิดในอนาคตของเราและเราจะตั้งใจเพื่อให้เราบรรลุสิ่งที่ตั้งไว้และประสบผลจากมัน
                If-clause  ประเภทแรก  คือ  เป็นการสมมุติ  เหตุการณ์ที่สามารถเป็นไปได้จะมีรูปแบบ  คือ  If  + present  tense  verb,  will  l  may  l  can  +    เช่น  If  you  help  me  with  this  assignment,  I  will  help  you  with  your  homework.  ประโยคเป็นเหตุการณ์ในปัจจุบันและอาจเป็นไปได้
                ประเภทที่  2  คือ  ใช้สำหรับเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เป็นจริงไม่ได้  แต่จะใช้รูปแบบประโยคในอดีต  คือ  If  +  Past  tense  verb,  Would/might/could  +  V  เช่น  If  I  became  president,  I  would  change  the  healthcare.  อันนี้คือเหตุที่สมมุติในปัจจุบันแต่เป็นไปไม่ได้ในขณะที่พูดและ  If  l  won  a  lottery,  I  would  stop  teaching  เป็นเหตุการณ์ที่เป็นไปไม่ได้  หรือถ้าเป็นไปได้ก็บ่อยมากจนเป็นไปไม่ได้เลย
                ประเภทที่  3  ใช้สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นในอดีต  เป็นการกล่าวสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นหรือสมมุติขึ้นในอดีต  ใช้ในรูปแบบประโยค  I  +  past  perfect  tense  verb,  would  have  +  V-ed  เช่น  If  I  had  had  enough  money,  I  would  have  gore  to  Japan.  คือเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีตและเป็นไปไม่ได้  เป็นแค่การมโนถึงในช่วงฝันที่ผ่านมาว่าถ้ามีแบบนั้นก็คงจะเป็นแบบนั้น  แต่มันไม่ใช่ความจริงที่เกิดขึ้น
                และจากข้อมูลข้างต้นก็จะทำให้เราได้นำเอาเรื่องของ  If-clause  ไปประยุกต์ในงานแปลของเราและจะทำให้งานแปลมีคุณภาพ  แต่ก็ไม่ใช่แค่การแปล  แต่จะช่วยให้เราอ่านเรื่องนั้นๆเข้าใจง่ายขึ้นอีกด้วย  รวมไปถึงการนำไปประยุกต์ใช้กับงานเขียนของเราอีกด้วย  ให้งานเขียนดูน่าสนใจ







learning log 6 นอกห้องเรียน

Learning  log  6  (นอกห้องเรียน)
                หนังสือพิมพ์เป็นแหล่งข่าวแหล่งข้อมูลให้เราได้รอบรู้เรื่องต่างๆภายในประเทศและนอกประเทศ  ไม่ว่าจะเป็นด้านใด  และในยุปัจจุบันเราก็ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อหนังสือพิมพ์  เพราะเราสามารถใช้สื่อ  IT  ที่มีเข้ามามีส่วนร่วมในการเสพข้อมูลข่าวสารและการอ่านหนังสือพิมพ์แบบเดิมๆ  อ่านธรรมดาถ้าเราได้อ่านหนังสือพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษเราก็จะได้ฝึกทักษะทางภาษาอังกฤษได้อีกด้วย  และได้คำศัพท์อีกมากมาย
                การอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของผมครั้งแรกๆก็จะใช้เวลานานมากจริงๆ  และตอนหลังๆก็ใช้เวลาน้อยลง  ในการอ่านของผมมักจะเปิดอ่านพร้อม  dictionary  online  ด้วย  เพราะจะต้องแปลคำศัพท์ที่เราไม่รู้  ดังวันนี้ผมได้อ่านหนังสือพิมพ์  The  Nation  จากเว็บไซต์  www.nationmultimedia.com/breakingnows/Thailand-fishing-compliance-over-80-compleled-30268773.html  เรื่องการปฏิบัติตามกฎของการประมงของไทยกว่า  80  เปอร์เซ็นต์  เสร็จสมบูรณ์สามารถสรุปได้ดังนี้
                ประเทศไทยได้ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องการทำประมงของไทยสมบูรณ์กว่า  80  เปอร์เซ็นต์แล้ว  เพื่อให้สอดคล้องกับสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการทำประมงแบบผิดกฎหมาย  ประเทศไทยได้แก้กฎหมายเกี่ยวข้องกับการคำนึงกึ่งคู่ค้า  คือ  กฎระเบียบการนำเข้าและเงื่อนไขการตรวจสอบย้อนกลับ  บทลงโทษมีความรุนแรง  เพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดทำผิดกฎหมาย
                เรือประมงของไทยทุกลำจะต้องเก็บข้อมูลเข้าสู่ระบบอย่างถูกกฎหมาย  และกำกับดูแลภายใต้กฎหมายอย่างเป็นทางการ  ผู้ตรวจสอบของสหภาพยุโรปทางทะเลตรวจสอบความคืบหน้าในการปฏิบัติ  หลังจากได้รับใบเหลืองภัยคุกคามและสั่งห้ามนำเข้าสินค้าทะเลจากประเทศไทย
                และอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง  ค้ำประกันเงินกู้เพื่อการลงทุนพลังงานจากแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นจากเว็บไซต์เดียวกัน  สามารถสรุปได้ดังนี้  ธนาคารกสิกรไทยขยายการรับประกันกู้เงิน  1.6  แสนล้านบาทจากธนาคารโตเกียวดาว  ให้กับบริษัทไทยไทยพรีเมียร์โซลุชัน  ซึ่งมีโครงการ  10  โครงการเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น
                ทางธนาคารกสิกรไทยกล่าวว่าเป็นครั้งแรกของการรับประกันเครดิตระหว่างประเทศ  เมื่อญี่ปุ่นต้องการเร่งการใช้พลังงานทดแทนในกลุ่มเป้าหมายร้อยละ  20  และแบ่งพลังงานทดแทนส่งออกทั้งหมดได้ในปี  2020  ซึ่งคาดว่าจะเหมาะกับทุกคนและสะดวก  จึงสนับสนุนการลงทุนดังกล่าว

                สำหรับตัวของผมผมคิดว่าการอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ  เราได้มากกว่าความรู้นั่นคือ  ทักษะต่างๆ  เช่นการพูดการแปล  และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ  และเป็นการพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี  การอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษบ่อยๆจะทำให้เรามีคลังคำศัพท์มากมาย  เพื่อจะสามารถนำไปประยุกต์ในรายวิชานั้นๆและประยุกต์ใช้ได้จริง

learning log 6 ในห้องเรียน

Learning  Log 6 (ในห้องเรียน)
                ในการสร้างประโยคแต่ละครั้งไม่ใช่ว่าเราต้องการจะสร้างแล้วสร้างได้เลย  แต่เราจะต้องพิจารณาหลายๆองค์ประกอบ  เช่น  Tense  หรือรูปแบบประโยค  การที่จะสร้างประโยคได้  ต้องเริ่มจากการรู้คำศัพท์  (Word) แล้วขยับมาเป็นวลี  Phrase  ต่อมาก็เพิ่มเป็น  อนุประโยค  Clause  และสุดท้ายก็เลื่อนขั้นไปเป็นระดับประโยค  ประโยคแต่ละประโยคอาจมีความสั้นยาวที่ต่างกัน  ขึ้นอยู่กับความต้องการของเราว่า  ต้องการเน้นหรือขยายอะไรอย่างไร  โดยการใช้  Clause  หรือ  Phrase  เข้ามาช่วย
                จากการเรียนในห้องเรียน  คือ  เขียนเรื่อง  การทำ  Adjective  Clause  เป็น  Adjective  Phrase  หรือการลดรูป  ซึ่งมีความสอดคล้องที่จะต้องนำไปประยุกต์ใช้ในรายวาการแปล  เพื่อจะทำงานแปลให้มีคุณภาพและได้รายละเอียดครบถ้วนตามต้นฉบับ  บางคนอาจไม่เข้าใจการลดรูปของ  Adjective  Clause  จึงทำให้เวลาที่แปลงาน  ผลงานอาจะออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร  โดยก่อนจะเริ่มลดรูปของ  Adjective  Clause  เป็น  Adjective  Phrase  ผมจะเริ่ม (ถ่ายมาไม่ครบ)
                Adjective  Clause  คือ   Subordinate  Clause  ที่ทำหน้าที่  เหมือนกับคำ  Adjective    ที่ขยายคำนามและสรรพนาม  บางครั้งอาจเรียก  Relative  Clause  โดยจะใช้  คำ  Relative  Pronoun  มาเชื่อมประโยค  Subordinate  Clause  เข้ากับ  ประโยค  Main  Clause  โดยใช้  Who  ,  Whom  ,  Whose  ,  That  กับคน  และใช้  Adjective  Clause  ขยายคำนามหรือสรรพนามใด  ให้วางประโยค  Relative  Clause  ไว้หลังประโยคนั้นทันที  และใช้ Relative  Pronoun  แทนคำนามหรือคำสรรพนาม  ในประโยคโดยตัดคำนามหรือสรรพนามที่ใช้แทนออกไป  เช่น  John  married  a  women  who  works  in  his  office.
                Adjective  Clause    สามารถแบ่งออกได้เป็น  ชนิด  คือ  ชนิดแรกคือ  Defining  relative  clause  หรือ  Restrictive  clause  ซึ่งจะทำหน้าที่ขยายคำนาม  หรือ สรรพนามที่เป็น  head  word  ของประโยค  Main  Clause  โดยไม่ใส่  Comma (,)  เพราะถ้าตัดออกจะทำให้ความหมายของประโยคหลักไม่สมบูรณ์  และอีกชนิดคือ  Non- Defining  relative  clause  หรือ  Nonrestrictive  clause  จะวางไว้หลังคำนาม  หรือสรรพนามหลักของประโยค  Main  Clause  ซึ่งคำนามนั้นมีความหมายสมบูรณ์ในตัวของมันเองอยู่แล้ว  ดังนั้น  จะใส่  Comma (,)  คั้นกลางคำนามหลักเพื่อเป็นการเพิ่มข้อมูลของคำนามหลักเท่านั้น
                ส่วน  Adjective  Phrase  หรือ  คำคุณศัพท์วลี  ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์  หรือ  Adjective  เพื่ออธิบายหรือขยายลักษณะของคำนามหรือคำสรรพนามใช้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น  ส่วนตำแหน่งการวาง  อาจอยู่ก่อนคำนาม  หรืออยู่หลังคำนาม  หรืออาจทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็ม  ของ  Linking  Verb  หรือ  ส่วนเติมเต็มของกรรม  และบางครั้งที่เราเห็นเป็น  Adjective  Phrase    อาจมาจาก  Adjective  Clause  โดยการลดรูป
                การลกรูปของ  Adjective  Clause  ใช้เป็น  Adjective  Phrase    สามารถทำได้  2  วิธี  คือ  วิธีแรก  การเอาประธาน  เช่น  Which  ,  that  หรือ  Who    และ  Verb  to  be  เช่น  The  books  , which  are  lost  ,  are  not  really  necessary.  เป็น  The  books  lost  are  not  really  necessary. และอีกวิธีหนึ่งคือ  การเอาประธานออกแล้วเปลี่ยนกริยาแก้เป็น  V.ing  เช่น  Something  that  smells  bad  may  be  roften.  เป็น  Something  smelling  bad  may  be  roften.
                ดังนั้น  การที่เราจะแปลผลงานให้มีคุณภาพดี  เราจะต้องถอดข้อมูลออกมาให้ครบสมบูรณ์จากต้นฉบับ  และต้องเป็นคนที่ละเอียดอ่อน  และช่างสังเกตเหมือน เช่น  การลดรูป  ของ  Adjective  Clause  เป็น  Adjective  Phrase    เราจะต้องแปลออกมาทั้งหมดไม่ใช้แปลเฉพาะรูปที่ย่อมาแล้วซึ่งไม่ใช่แค่เราจะได้ฝึกแต่เพียงทักษะภาษาอังกฤษแต่เรายังได้ฝึกฝนการคิดการพิจารณา  ซึ่งสามารถบูรณาการกันอย่างสมบูรณ์






learning log 5 นอกห้องเรียน

Learning  log  5  (นอกห้องเรียน)
                ในสมัย  5-10  ปีก่อนหน้านี้  การอ่านหนังสือที่ใช้ภาษาอังกฤษหรือแม้แต่คำสั้นๆคำเดียวอาจเป็นปัญหาสำหรับเด็กไทยเป็นอย่างมาก  แต่สิ่งที่จะช่วยเด็กได้ดีที่สุดในช่วงนั้นก็คือ  dictionary  แต่มีราคาสูงและมีขนาดที่ใหญ่ในการค้นหาก็ใช่เวลานานอาจเป็นเหตุผลที่เมื่อเด็กเห็นภาษาแล้วมองข้ามมันไป  เพราะใช้เวลาและยุ่งยากกว่าจะหาคำศัพท์เจอ  ต่อมาได้มีคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการช่วยแปลคำศัพท์ใช้เวลาน้อยลง  แต่อักษรขนาดที่ไม่สามารถพกพาได้จึงเป็นขีดจำกัดในการหาความรู้
                ต่อมาในปัจจุบันเทคโนโลยีมีความทันสมัยและก้าวไกลการเรียนรู้  จึงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาด้วย  ผมมีภาระงานในรายวิชาหนึ่งที่จะต้องหาคำแปลและคำที่มีบริบทใกล้เคียงกัน  ผมจึงได้ทดลองใช้โปรแกรมชนิดหนึ่ง  ชื่อว่า  Thai  Fast  Dict  ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นที่สามารถดาวโหลดฟรีจาก  App  store  ตอนแรกที่ผมโหลดมาก็คิดแค่จำเอาไว้แปลคำศัพท์เพียงอย่างเดียว  แต่ในทางกลับกันฟังค์ชันของมันมากมาย  มีคำสั้น  อักษร  คำที่มีความหมายเหมือนคำที่มีความหมายแตกต่าง  เสียง  และรูปภาพ
                ผมคิดว่าโปรแกรมนี้สามารถฝึกฝนการออกเสียงภาษาอังกฤษได้ดีเลยทีเดียว  และยังสามารถรู้คำศัพท์เพิ่มขึ้นอีกมากมาย  ผมใช้โปรแกรมนี้ผ่านทางสมาร์ทโฟนเกือบทุกวัน  และทุกครั้งที่ผมแปลผมจะกดให้ระบบออกเสียงและออกเสียงตาม  ผมเคยคิดว่ามันออกเสียงแบบผิดๆหรือดี  แต่จากการนำเสนองานในรายวิชาของอาจารย์ทิพวรรณ  ทองขุนดำ  ท่านบอกว่าผมออกเสียงได้ดี  ผมจึงคิดว่าโปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมที่ใช้ได้ดีเลยทีเดียว
                คำศัพท์ส่วนใหญ่ที่ผมหาจะเกี่ยวกับคำ  prefix,  suffixes  และ  root  โดยการลองเอา  root  ของคำ  แล้วเติม  prefix  หรือ  suffixes  ดูว่ามีความหมายหรือไม่มีความหมาย  และบอกหน้าที่ของคำศัพท์ว่าทำหน้าที่เป็นอะไร  และมีเกมเติมคำศัพท์ให้เราได้เล่นอีกด้วย  เป็นโปรแกรมที่มีความรู้และความสนุก
                การเรียนรู้ของคนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาเชื่อมโยงในรายวิชาที่เรียนได้อีกด้วย  เมื่อเรามีสื่อมีแหล่งข้อมูลแหล่งความรู้อยู่กับตัว  อย่าใช้แบบไม่มีเหตุผล  แต่จงให้เกิดผลมากที่สุด  และอย่าปิดบังตนเอง  เปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ๆจะทำให้เราตามเทรนและเป็นคนที่ก้าวทันเทคโนโลยี  แต่อย่าให้เทคโนโลยีมาเป็นตัวกำหนดตัวเรา  แต่จงใช้ตัวเรากำหนดเทคโนโลยี 






learning log 5 ในห้องเรียน

Leaning  log  5  (ในห้องเรียน)
Adjective  clauses
1. I  was  fold  that  I  was  expelled  because  I  had  become  Muslim  and  the  school  was  only  for  Christian  denominations.
ผมบอกว่าผมถูกไล่ออกเพราะว่าผมกลายเป็นมุสลิมและโรงเรียนเป็นของผู้ที่นับถือศาสนาคริสเตียนเท่านั้น
2. We  need  our  own  stores  around  this  country,  So  that  we  can  distribute  products  regardlees  of  what  we  are  selling.
พวกเราจำเป็นต้องมีร้านรอบๆประเทศนี้  เพื่อให้เราสามารถจำหน่ายสินค้าโดยไม่คำนึงว่าเราจะขายอะไร
3. Upbeat  Dancer  is  a  reboot  of  the  original  hit  series  such  legendary  musicians  as  Stevie  Wonder,  The  Rolling  Stones,  The  Temptations,  and  many  others. 
จังหวะที่อันตราย  คือ  การรู้บทของต้นตำหรับตำนานนักดนตรี  เช่น  Stevie  Wonder,  The  Rolling  Stones  The  Temptation  และอีกมาย
4. Of  course,  to  do  that,  you  need  to  have  the  resources  to  pay  your  full  premium  upfront,  which  may  not  work  for  you.
แน่นอนจะทำอย่างนั้นคุณต้องมีเงินที่จะจ่ายค่าประกันล่วงหน้าในฤดูใบไม้ร่วง  ซึ่งคุณอาจจะไม่ทำงาน
5. Deen  Mohammed  High  School  in  Atlanta  and  native  of  New  Jersey,  an  Invitation  is  sent  out  to  all  who  have  been  touched  by  Imam  Mansoor  to  a  brunch  in  his  horer.
โรงเรียนมัธยม  Deen  Mohammed  ใน  แอตแลนต้า  และชาวพื้นเมื้องของนิวเจอร์ซีย์จะถูกส่งตัวออกไปทั้งหมด  ผู้ที่เคยคลุกคลี  โดย  ฮิหม่าม  Mansoor  เพื่อเป็นเกียรติแก่พวกเขา
Adjective  phrase
1. The  candy  was  dark  chocolate  brown.
ลูกอมสีน้ำตาลช็อกโกแลต
2. That  old  food  Tastes  awfully  bad.
อาหารที่เก่ารสชาติจะไม่ดีมากๆ
3. Something  in  the  corner  was  moving.
บางสิ่งในมุมถูกเคลื่อนย้าย
4. The  very  small  kitten  jumped  at  the  big  dog.
ลูกหมาตัวเล็กมากกระโดดเข้ามาหาสนัขตัวใหญ่
5. I  love  the  of  a  sweet  juicy  peach.
ฉันหลงรักรสชาติอันหวานฉ่ำของลูกพีช


learning log 4 นอกห้องเรียน

Learning  log  4  (นอกห้องเรียน)
เรื่อง  อยากเป็นนักแปลเริ่มต้นอย่างไร
                การจะเป็นคนที่เก่งภาษาอังกฤษเราจะต้องรู้คำศัพท์ให้มากๆ  และสามารถแปลความหมายของคำเหล่านั้นได้  แต่ละคนมีทักษะการแปลที่แตกต่างกันและใช้เครื่องมือแตกต่างกัน  เช่น  บางคนชอบใช้ดิกเชนรี,เครื่องมือ  It  หรือแม้แต่เว็บไซต์  เพื่อช่วยในการแปล  แต่ก็ช่วยได้แค่บางส่วน  การที่เราพยายามฝึกหัดการแปลภาษาด้วยตนเอง  จะทำให้เราเกิดทักษะมากมายในชีวิต  การจะเป็นคนแปลหรือนักแปลที่มีหลายประการ  เป็นลำดับเป็นขั้นตอน
                “ความรู้”  นักแปลจะต้องมีความรู้ทางด้านภาษาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี  ถ้าภาษาต้นและภาษาทางจะสามารถตีความต้นฉบับได้เร็ว  หากคุณเป็นคนรักการอ่าน  และศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลาก็จะเป็นการเพิ่มทักษะการแปลให้แก่เรา  ความรู้ทางด้านภาษาจะต้องมาจากการฝึกฝน  การฝึกฝนจะต้องเก็บสะสมเป็นเวลานาน  จึงจะได้ผลดี
                “การฝึกฝน”  เมื่อนักแปลมีความรู้ทางด้านภาษาแล้ว  นักแปลจะต้องฝึกฝน  เปรียบเสมือนนักรบจะต้องฝึกซ้อมก่อนออกสนาม  การฝึกแปลไม่ใช่ฝึกอ่านแล้วคิดในใจ  แต่จะต้องฝึกอย่างจริงๆ  เขียนลงกระดาษเพื่อเป็นประสบการณ์จากการลงมือทำ  การฝึกหัดเปรียบเสมือนการหล่อหลอม  สิ่งที่ได้เรียนรู้เข้าด้วยกันจะทำให้บรรลุผล  การหัดแปลจะทำให้เรารู้จักป้องกันต่อปัญหาต่างๆได้ดี  เช่น  ไฟดับ,  คอมพิวเตอร์เสีย  เพราะบางครั้งในการแปลอาจจะต้องมีเครื่องมือมาเกี่ยวข้อง
                “เครื่องมือ”  ถ้าต้องการถามว่านักแปลใช้เครื่องมือใดในการแปล  ก็สามารถตอบได้เลยว่า  ในยุคนี้ไม่ค่อยมีนักแปลใช้เครื่องมือใดในการแปล  แต่จะใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการแปล  เช่น  คอมพิวเตอร์,เครื่องโทรสาร  เครื่องพิมพ์  ซอฟต์แวร์ต่างๆ  เพราะใช้งานได้สะดวกและสามารถแก้ไขได้ง่าย  ยิ่งปัจจุบัน  สื่อ  It  เข้ามามีบทบาทมากขึ้น  การแปลจึงง่ายแค่เอื้อมือ
                การที่เราจะแปลงานให้ได้คุณภาพ  เราก็จะต้องสำรวจจุดยืนของตัวเองว่าตัวเองมีความชอบความถนัดงานแปลประเภทใด  เช่น  งานแปลวรรณคดี,  งานแปลภาพยนตร์  งานแปลวิชาการ  เป็นต้น  เพราะไม่มีใครเชี่ยวชาญหมดทุกด้าน  ดังนั้นเราควรหาจุดยืนให้ชัดเจนก่อนว่าเราต้องการแปลด้านใด  และวางแผนงานให้รอบคอบ  ก่อนที่เราจะตัดสินใจเลือกแปลงานชนิดใดเราต้องรู้จักตัวเองว่าชอบอะไรถนัดอะไร  จะทำให้งานออกมาดีมีคุณภาพ
                ในการจะเป็นนักแปลไม่ใช่เรื่องง่าย  แต่ก็ไม่มีอะไรยากกว่าใจตัวเองที่อยากจะลองอยากจะทำ  แต่ละคนมีทักษะที่ต่างชอบต่างกัน  เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้ตัวเองว่าชอบอะไรถนัดอะไร  จากนั้นก็ทบทวนความรู้ความสามารถของตนแล้วทำการฝึกฝน  ภาษาอังกฤษยิ่งทดลองใช้มากยิ่งดี  เราจะจำและใช้ติดเป็นนิสัย  แต่ในการนำเสนองานหรือการทำงานเราจะต้องมีเครื่องมือเข้ามามีบทบาท  ยิ่งปัจจุบันยุค  IT  ระบาดและเป็นที่ยอมรับของสังคม  เขาก็จำเป็นต้องใช้ให้เป็น  ดังนั้นการที่จะเป็นนักแปลได้  ก็คือ  จะต้องมีความรู้  ฝึกฝนโดยใช้เครื่องมือ  แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด  คือ  รู้จักตนเอง  ว่าชอบอะไรถนัดอะไร