ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการแปล
ความสำคัญของการแปล
ในปัจจุบันมีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสื่อสารเพิ่มขึ้นอย่างกว้างขวาง
เนื่องจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ในการเดินทาง เช่น
เดินทางทางอากาศ ใช้ในทางการไปรษณีย์ ตลอดจนในการศึกษาจึงแสดงให้เห็นว่า ภาษาอังกฤษมีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆรวมทั้งเป็นภาษาของการปฎิวัติอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีด้วย
จึงมีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อในการแสดงและอธิบายความหมาย เพื่อการโต้ตอบระหว่างมนุษย์ทั่วโลก จากการที่การคมนาคมสื่อสารเจริญรุดหน้าไปมาก คนต่างชาติต่างภาษาในโลกได้มีการติดต่อกันมากขึ้นทุกวัน
การแปลจึงทวีความสำคัญมากขึ้นเนื่องจากประเทศไทยมีการติดต่อกับต่างประเทศในวงการต่างๆมากขึ้น ผู้ที่ทำการติดต่อนั้น บางคนอาจจะรู้ภาษาต่างประเทศไม่ดีพอ จึงจำเป็นต้องอาศัยผู้แปล
การแปลในประเทศไทย
การแปลในประเทศไทยเริ่มมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชส่งโกษาปานไปเฝ้าพระเจ้าหลุยแห่งประเทศฝรั่งเศส จึงมีการฝึกนักแปลประจำราชสำนัก
มีการแปลเอกสารต่างๆในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีการสอนภาษาอังกฤษในราชสำนัก
การแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยเริ่มมีบทบาทสำคัญในสังคมไทย
ตั้งแต่ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ รวมทั้งความเจริญทางเทคโนโลยี ทำให้มีการติดต่อและเดินทางถึงกันได้สะดวกรวดเร็ว
จึงควรมีการแปลงานทุกอย่างหรือแปลมาเป็นภาษาไทยให้มากที่สุด เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศ ระหว่างประชาชน และระหว่างสังคม ระหว่างวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของประเทศต่างๆ
การแปลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ผู้แปลจะต้องเป็นกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและมีนักภาษาด้วย เพื่อป้องกันการใช้ภาษาวิบัติ และอีกประการหนึ่งการแปลมีปัญหาอยู่มากเนื่องจากขาดความรู้เรื่องพื้นฐานทางวัฒนธรรม
(Cultural backgrown)
ผู้แปลจะต้องติดตามวิชาการด้านวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีตลอดเวลาศัพท์บางคำ
หาคำเทียบในภาษาไทยไม่ได้จริงๆ ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงประโยชน์การใช้ให้คุ้มกับเวลาที่จะใช้ในการแปลด้วย
การสอนแปลในระดับมหาวิทยาลัย
การสอนแปลในระดับมหาวิทยาลัย เป็นการสอนไวยากรณ์ และโครงสร้างของภาษาการใช้ภาษา รวมทั้งการอ่านเพื่อความเข้าใจ
เนื่องจากนักศึกษายังขาดความรู้ในเรื่องเหล่านี้และผู้ที่จะแปลได้ควรจะเป็นผู้ที่มีความรู้ทางภาษาอย่างดีแล้ว
การแปลคืออะไร
การแปลคือการถ่ายทอดความคิดจากภาษาหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่ง
โดยให้มีใจความครบถ้วนสมบูรณ์ตรงตามต้นฉบับทุกประการ
ไม่มีการตัดต่อหรือแต่งเติมที่ไม่จำเป็นใดๆทั้งสิ้น
คุณสมบัติของผู้แปล
เนื่องจากการแปลเป็นทักษะและศิลปะที่มีขบวนการที่กระทำต่อภาษา ผู้แปลจึงควรมีลักษณะดังนี้
1.
เป็นผู้รู้ภาษาอย่างดีเลิศ
2.
สามารถถ่ายถอดความรู้ให้ผู้อื่นได้เข้าใจ
3.
เป็นผู้ที่มีศิลปะในการใช้ภาษา มีความเข้าใจและซาบซึ้งในความสวยงามของภาษา
4.
เป็นผู้เรียนวิชาภาษาและวรรณคดี หรือภาษาศาสตร์
5.
ผู้แปลจะต้องเป็นผู้รอบรู้ รักเรียน
รักอ่าน และรักการค้นคว้าวิจัย เพราะสิ่งที่สำคัญของการแปลคือ
การถ่ายถอดความคิดเป็นนามธรรมออกมาโดยใช้ภาษาซึ่งเป็นรูปธรรม
6.
ผู้แปลต้องมีความอดทนและเสียสละ
เพราะเป็นเรื่องที่ต้องใช้แรงความคิดและเวลาเนื่องจากการแปลเป็นเรื่องเกี่ยวกับทักษะ ซึ่งต้องมีการฝึกฝนอย่างเข้มข้น การตรวจแก้ไข
จึงจะเกิดทักษะ
จุดมุ่งหมายของผู้สอนแปล
คือ
สอนฝึกและผลิตนักแปลที่มีคุณภาพแก่สังคมสรุปได้ว่าผู้เรียนแปลจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1.
รู้ลึกซึ่งในเรื่องภาษา มีความรู้พื้นฐานด้านภาษาอย่างดี มีความสามารถในการใช้ภาษา
2.
รักการอ่าน ค้นคว้า
3.
มีความอดทน มีความพยายามที่จะปรับปรุงแก้ไข
4.
มีความรับผิดชอบ รู้จักใช้ความคิดของตนเอง
วัตถุประสงค์ของการสอนแปล
1.
เป้าหมายที่สำคัญของการสอนแปล
คือการฝึกเพื่อผลิตนักแปลที่มีคุณภาพให้ออกไปรับใช้สังคมในด้านต่างๆ
2.
การสอนแปลให้ได้ผล ตามทฤษฎีวิชาแปลเป็นวิชาที่เกี่ยวเนื่องกับทักษะ2ทักษะ
คือ
ทักษะในการอ่านและทักษะในการเขียน
3.
ผู้สอนแปลต้องหาทางเร่งเร้าให้ผู้เรียนได้อ่านอย่างกว้างขวาง
มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมให้มีการค้นคว้าเพื่อหาทางแก้ปัญหาด้วยตนเองจากหนังสืออ้างอิงหรือแหล่งวิชาการต่างๆ
4.
ให้ผู้เรียนแปลได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักแปลอาชีพหรือผู้ใช้บริการการแปลเพื่อเป็นการเตรียมตัวก่อนที่จะไปประกอบอาชีพหรือการไปดูงานการทำงานของนักแปลในสำนักงาน
หลักสำคัญในการแปลมี5ประการคือ
1.
ผู้แปลจะต้องเข้าใจเนื้อหาที่จะแปล
รวมทั้งความตั้งใจของผู้เขียนต้นฉบับอย่างถ่องแท้
2.
ผู้แปลจะต้องมีความรู้ภาษา ทั้งสองอย่างดีเยี่ยม
3.
ผู้แปลควรจะหลีกเลี่ยงการแปลคำต่อคำ เพราะจะทำให้ความหมายของต้นฉบับผิดไป รวมทั้งจะได้สำนวนภาษาที่ไม่สละสลวย
4.
ผู้แปลควรจะใช้ภาษาปัจจุบันในการแปล
5.
ผู้แปลควรจะใช้ระดับของภาษาที่ตรงกันกับต้นฉบับ
การแปลที่ดีจะต้องมีหลัก3ประการคือ
1.
เป็นการแปลที่ตรงกับต้นฉบับทุกประการ
2.
ใช้ภาษาที่ตรงกับต้นฉบับ และเข้าใจความคิดและพฤติกรรมของผู้เขียนต้นฉบับ
3.
ในการแปลต้องเป็นธรรมชาติและดูง่าย
หลักในการแปล
1.
การแปลนั้นจะต้องได้ความคิดครบถ้วนตรงตามฉบับ
2.
แบบของการเขียนเป็นแบบเดียวกับภาษาในต้นฉบับ
3.
การแปลควรจะต้องอ่านง่ายและตรงตามต้นฉบับ
ลักษณะของงานแปลที่ดี
งานแปลจะต้องมีความตรงกันในด้านความหมายของงานต้นฉบับและงานฉบับแปล และมีความสละสลวยในภาษาที่ใช้แปล งานแปลที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติสองประการนี้ คือ
ความถูกต้องตรงกันในเรื่องความหมายและภาษาที่สละสลวย ผู้แปลจึงต้องรู้ทั้งสองภาษา
คือมีความรู้อย่างดีทั้งในภาษาต้นฉบับและในภาษาที่ใช้แปล
1.
ความหมายถูกต้อง และครบถ้วนตามต้นฉบับ (equivalence in
meaning)
2.
รูปแบบของภาษาที่ใช้ในฉบับแปลตรงกันกับต้นฉบับ
(equivalence in style)
3.
สำนวนภาษาที่ใช้สละสลวยตามระดับของภาษา
(register)
การแปลจากภาษาหนึ่งไปสู่อีกภาษาหนึ่งนั้น
ผู้แปลจะต้องรักษาความหมายของต้นฉบับเดิมไว้ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
โดยมีการปรับปรุงโครงสร้างของภาษาที่แปลให้เหมาะสม หมายถึง
การแปลที่แปลให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับมากที่สุดคือพยายามรักษาความหมายให้คงอยู่ครบถ้วน
การให้ความหมายในการแปล
การส่งสารโดยวิธีการแปลเป็นภาษาแม่ของตน การให้ความหมายมี2ประการ คือ
1.
การแปลที่ใช้รูปประโยคต่างกันแต่มีความหมายอย่างเดียวกัน
2.
การตีความหมายจากปริบทของข้อความต่างๆ
การแปลกับการตีความจากปริบท
ความใกล้เคียง
(Context) และความคิดรวบยอด(Concept)
ไม่ใช่แปลแบบให้ความหมายเดียวกันในรูปประโยคที่ต่างกัน(paraphasing)
แต่ให้ดูสถานภาพที่เป็นอยู่ของข้อความ
ความหมายจากความรอบข้างหรือปริบทของข้อความ(Context) เป็นรูปนามธรรม ดังนั้นผู้แปลจึงต้องทำให้นามธรรมนั้นออกมาเป็นความคิดรวบยอดจากรูปภาพและสามารถสรุปความหมายออกมาได้
การวิเคราะห์ความหมาย
สิ่งที่จะต้องนำมาใช้ในการวิเคราะห์ความหมายคือ
1.
องค์ประกอบของความหมาย
2.
ความหมายและรูปแบบ
3.
ประเภทของความหมาย
องค์ประกอบของความหมาย
เนื่องจากภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อความหมาย ภาษาแต่ละภาษาจึงต้องมีระบบที่จะแสดงความหมายคือ
1.
คำศัพท์ ถือคำที่ตกลงยอมรับกันของผู้ใช้ภาษาซึ่งจะมีคำศัพท์จำนวนมากในการสื่อความหมาย
2.
ไวยากรณ์ หมายถึงแบบแผนการจัดเรียงคำในภาษา เพื่อให้เป็นประโยคที่มีความหมาย
3.
เสียง ในภาษาจะมีเสียงจำนวนมากซึ่งเป็นเสียงที่มีความหมาย
ประเภทของความหมาย
นักภาษาศาสตร์ได้กำหนดประเภทความหมายไว้4ประเภทด้วยกัน
1.
ความหมายอ้างอิง
(referential meaning)
หรือความหมายโดยตรง(denotative meaning)
ความหมายอ้างอิงหมายถึงความหมายที่กล่าวอ้างโดยตรงถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทั้งที่เป็นรูปธรรม และนามธรรม หรือเป็นความคิด มโนภาพ
2.
ความหมายแปล (Connotative
meaning) หมายถึง ความรู้สึกทางอารมณ์ของผู้อ่าน ผู้ฟัง
ซึ่งอาจจะเป็นความหมายในทางบวก
หรือทางลบก็ได้ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของภาษาและภูมิหลังของบุคคล
3.
ความหมายตามปริบท
(Contextual meaning)
รูปแบบหนึ่งๆของภาษาอาจจะมีความหมายได้หลายความหมาย
ต้องพิจารนาจากปริบทที่แวดล้อมคำนั้นทั้งหมด จึงจะรู้ความหมายที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ
4.
ความหมายเชิงอุปมา(figurative meaning)
เป็นความหมายที่เกิดจากการเปรียบเทียบทั้งการเปรียบเทียบโดยเปิดเผย(simile) และการเปรียบโดยนัย(simile) และการเปรียบโดยใน(metaphor)ผู้แปลจะต้องวิเคราะห์การเปรียบเที่ยบ
โดยแบ่งองค์ประกอบของการเปรียบเทียบ
ออกเป็น3ส่วนคือ
4.1
สิ่งที่นำมาเปรียบเทียบ(topic)
4.2
สิ่งที่ถูกเปรียบเทียบ(illustration)
4.3
ประเด็นของการเปรียบเทียบ(point of similarity)
การเลือกบทแปลก
เลือกบทแปลตามวัตถุประสงค์ของการสอนแปล เช่น
แนวคิดให้แปลงานเขียนประเภทต่างๆ เช่น แปลข่าว สารคดี
เพื่อให้ได้ซึ่งความหลากหลายของประเภทงานเขียน
โดยคำนึงถึงการทำให้ผู้เรียนได้มีโอกาสตระหนักถึงความบกพร่องต่างๆของตนในการแปล
เรื่องที่จะแปล
เรื่องที่จะเลือกมาแปลมีหลายสาขา มีทั้ง
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มนุษยศาสตร์
จะต้องเลือกว่าจะแปลสาขาใด
ซึ่งจะทำให้คนมีความรู้ทันสมัย
จึงควรมีคณะกรรมการการแปลระดับชาติ
โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละสาขาวิชาใหญ่ๆเป็นแกน คือกรรมการและมีอนุกรรมการ การแปลหนังสือวิชาการสาขาต่างๆจะเป็นการกำจัดอุปสรรคความรู้ภาษาต่างประเทศไม่ดีพอ
และจะสามารถแสวงหาความรู้ได้อย่างกว้างขวางและลึกซึ้งการแปลจึงควรเลือกหนังสือที่เป็นหลักวิชาที่ยอมรับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น